ผลงานตร.ภูเก็ต สัปดาห์ที่ผ่านมา

    4 นักต้มตุ๋น หลอกสาวเล่นการพนันกำถั่ว จนเสียเงิน 1 ล้านบาท รุดแจ้งตำรวจตามจับตัวมาได้ 1 คน เป็นชาวตำบลรัษฎา ให้การรับสารภาพราวมกับเพื่อนอีก 3 คน

         เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมานางสาว เอ (นามสมมติ) ได้เข้าแจ้งความ กับพนักงานสอบสวน สภ.ถลาง ว่า เมื่อเวลา 11.00 น.ของวันที่ 12 พฤษภาคม 2560 ได้ถูกคนร้าย 4 คน ร่วมกันฉ้อโกงเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท โดยหลอกให้เล่นการพนันกำถั่ว โดยวิธีการคือกลุ่มคนร้าย ได้อ้างว่าเป็นนายหน้า และทำทีเข้ามาขอซื้อบ้าน  จากนั้นได้ตีสนิทกับผู้เสียหาย  ซึ่งในวันเกิดเหตุ คนร้ายได้ใช้รถยนต์เก๋งยี่ห้อ ฮอนด้าซิตี้ สีเทา ป้ายทะเบียน ฌม 2349 กทม.ไปรับผู้เสียหายที่บ้านพัก หมู่บ้านการ์เด้นเพลส ม.5 ต.เทกระษัตรี อ.ถลาง และพูดจาหว่านล้อมให้เล่นพนันกำถั่ว ผู้เสียหาย เสียเงินประมาณ 1,000,000 บาท และยังเป็นหนี้อีกประมาณ 900,000 บาท ก่อนทั้งหมดจะแยกย้ายหลบหนีไป   โดยหลังรับแจ้ง จนท.ชุดสืบสวนได้ติดตามคนร้ายจนทราบว่า คือนาย สมชาย อินทวงษ์ อายุ 49 ปี จึงติดตามจับกุมตัวได้ที่ซอยเพิ่มสิน  ต.รัษฏา อ.เมือง ภูเก็ต ก่อนนำตัวมาขยายผล

         จากการสอบสวนของ พ.ต.อ.สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล ผกก. สภ.ถลาง พร้อมด้วย พ.ต.ท.วีรยุทธ สิทธิรัตนกุล รอง ผกก.สส. สภ.ถลาง นายสมชาย ผู้ต้องหา รับสารภาพว่า ตนกับพวกอีก 3 คน ได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายจริง โดยร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน หลอกลวงให้นางสาวเอ เล่นกำถั่ว จนได้เงินสดมาประมาณ 1 ล้านบาท ตนเอง ได้ส่วนแบ่ง 270,000 บาท คนอื่นๆ ได้ส่วนแบ่ง 250,000 บาท  1 คน  และ 220,000 บาท  2 คน นอกจากนั้น ยังรับว่าตนเองเคยต้องโทษ ฉ้อโกงมาแล้ว 1 ครั้งเป็นเวลา 1 ปีครึ่ง เคยหลอกลวงผู้เสียหายซึ่งมีทั้งชาวบ้าน และนักธุรกิจในลักษณะดังกล่าว 7 ครั้ง ได้เงินหลายล้านบาท เมื่อพ้นโทษมาก็ทำอีก รวม 3 ครั้ง  โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ใน 3 ครั้ง สำเร็จ 2 ครั้ง ครั้งที่ผ่านมาหลอกได้เงิน 100,000 กว่าบาท  ได้ส่วนแบ่ง 27,000 บาท มาครั้งนี้ ได้มา 1,000,000 บาท ตนเองได้ส่วนแบ่ง 270,000 บาท ตำรวจกำลังตามล่าเพื่อนร่วมแก๊งค์อีก 3 คน


         ตร.สืบสวนภูธรจังหวัดภูเก็ต รวบยกแก๊ง ขโมยตัดสายเคเบิ้ลโทรศัพท์ รวม 9 คน ยึดของกลางลวดทองแดงประมาณ 500 กิโลกรัม 2 รถกระบะ ว่าคนร้ายแก๊งนี้อาละวาดก่อเหตุในพื้นที่ทั้งจังหวัดภูเก็ต และพังงา

         เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2560 เวลา 11.0 น. พงส.สภ.ถลาง ได้รับแจ้ง จากนายอิสสเรนทร์ หวังสุขเกษม อายุ 53 ปี ตัวแทนบริษัท ทีโอที จํากัด มหาชน ว่าเมื่อคืนวันที่ 7-8 พ.ค.60มีคนร้ายขโมยตัดสายเคเบิ้ลโทรศัพท์ ราคา 15,195 บาท บริเวณถนนสายป่าครองชีพ- บ้านพารา ม.1 ต.เทพกษัตรี อ.ถลาง จ.ภูเก็ต และที่บริเวณ ถนนสายบ้านบางโรง ม.3 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ราคา 27,026 บาท

         ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2560 เวลา 08.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนภูธรจังหวัดภูเก็ต นำโดย พ.ต.อ.พีรยุทธ์ การะเจดีย์ รอง ผบก.ภูเก็ต พ.ต.อ.อกนิษฐ ด่านพิทักษ์ศาสตร์ ผกก.สส.ภ จ.ภูเก็ต พ.ต.ท.ธรรมสรรค์ บุญทรง รอง ผกก.สส.ภูเก็ต พ.ต.ท. ปทักข์ ขวัญนา รอง ผกก.สส.ภูเก็ต พ.ต.ท.ตะวัน เลขมาศ. ร.ต.อ.พิชิต ทองโต ร.ต.อ. อุทร นวลจันทร์ ร.ต.ท. อุกฤษฏ์ ขาวมาก พร้อมเจ้าหน้าตำรวจ กองกำกับการสืบสวน จังหวัดภูเก็ต ร่วมกันควบคุมตัวผู้ต้องหาจำนวน 9 คน ประกอบด้วย นายสุริยา ตาลาด อายุ 28 ปี นายชาตรี มิ่งภูเขียว อายุ 36 ปี นายพิศิษฐ์ เนินเทา อายุ 43 นายนภดล สิงหืฆาฬะ อายุ 37 ปี นายมังกรหยก จันทะแสง อายุ 37 ปี นายวิวุฒร์ บัวแสง อายุ 35 ปี และ นายเอ นายบี นาย ซี (นามสมมุติ) มาสอบสวนเพิ่มเติม

         หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสอบสวนภูธร จังหวัดภูเก็ต เข้าจับกุมที่แคมคนงานไม่มีเลขที่ในพื้นที่ ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เมื่อเวลา 05.00 น.ที่ผ่านมา พร้อมด้วยของกลาง ท่อร้อยสายทองแดงสีดำจำนวนมาก ลอดทองแดงประมาณ 500 กิโลกรัม  อุปกรณ์ใช้สำหรับตัดสายเคเบิ้ลจำนวนหลายรายการ รถยนต์กระบะจำนวน 2 คัน มาดำเนินคดีตามกฎหมาย

         พ.ต.อ.อกนิษฐ กล่าวว่า จากการสอบสวนในเบื้องต้นพบว่า กลุ่มผู้ต้องหารายนี้ได้ก่อเหตุในหลายพื้นที่ ทั้ง ต.ป่าคลอก ต.เชิงทะเล และพื้นที่อำเภอเมือง รวมถึงในพื้นที่ จ.พังงา ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก


         ตร.กมลา /ป่าตอง สนธิกำลังร่วมสืบสวนภูธร ภ.8 ตามจับ 2 โจ๋ ก่อเหตุจี้ชิงทรัพย์ร้านขายยา หลังพบก่อเหตุต่อเนื่องติดต่อกัน 2 ครั้ง ล่าสุดตามจับได้แล้ว สารภาพหมด

         จากกรณีเมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา มีน.ส.นันท์นภัส  หวานดี อายุ 36 ปี เจ้าของร้านขายยา ชื่อร้าน HAPPYPHARMACY  เลขที่ 73/67 ริมถนนสายกมลา-ป่าตอง ม.3 ต.กมลา อ.กะทู้ จว.ภูเก็ต  เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ว่าเมื่อ เวลาประมาณ 22.50 น. ได้มีคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น เข้ามาทำทีซื้อยา แล้วชักอาวุธมีดออกมาข่มขู่จะเอาเงิน จึงได้ตะโกนเรียกคนในบ้าน ทำให้คนคนร้ายตกใจวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่มีเพื่อนติดเครื่องรออยู่หลบหนีไป

         จนกระทั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ทราบว่าคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ คือนายฤทธินันต์ สำเภารัตน์ อายุ 18 ปี ชาว จ.ภูเก็ต และ นายสุระศักดิ์ หมาดสตูล ชาว จ.ภูเก็ต เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ท.โสภณ  บริรักษ์ รอง ผกก.สส.สภ.กมลา , พ.ต.ท.ประวิทย์  เอ่งฉ้วน รอง ผกก.สส.สภ.อ่าวนาง ปฏิบัติราชการ บก.สส.ภ.8 , พ.ต.ท.สมศักดิ์  ทองเกลี้ยง รอง ผกก.สส.สภ.ป่าตอง  พร้อมด้วย พ.ต.ท.อศลย์ จิรักษา สว.สส.สภ.กมลา , พ.ต.ท.กิตติศักดิ์  สมมาตย์  สวป.สภ.คุระบุรี ปฏิบัติราชการ บก.สส.ภ.8 , พ.ต.ท.กรพล  เลี้ยงบุญจินดา  สว.สส.สภ.ป่าตอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง จึงไปตรวจสอบที่บ้านพักของนายฤทธินันต์ พบว่าผู้ต้องหาทั้ง 2อยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว

         อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.กมลา สภ.ป่าตอง และ สืบสวนภูธร ภ.8 ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.เสริมพันธ์ ศิริคง รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต , พ.ต.อ.ศิริศักดิ์ วาสะศิริ รรท.ผกก.สภ.กมลา , พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ ผกก.สภ.ป่าตอง ได้ร่วมกับสืบสวนและติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุอุกอาจในครั้งนี้ หลังจากไม่ได้เงินจากการก่อเหตุที่ร้านแรก คนร้ายได้ไปก่อเหตุชิงทรัพย์ที่ร้านขายยาในพื้นที่ป่าตองด้วย โดยคนร้ายได้เงินไปจำนวน 4,000 บาท

         หลังการจับกุมเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายมาสอบสวนขยายผลที่สถานีตำรวจภูธรกมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งในเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งสองยอมรับกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า ตนเองทั้งสองคนคือบุคคลเดียวกันกับคนร้ายที่เข้าไปก่อเหตุประทุษร้ายต่อทรัพย์ในร้านยาที่เกิดเหตุทั้ง 2 ร้านจริง เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวไว้ดำเนินคดีต่อไป


    ตชด.425รวบหนุ่มภูเก็ตได้ยาบ้ากว่า 8,000 เม็ด มูลค่าประมาณ 1.9 ล้าน และยาไอซ์ จำนวนหนึ่ง

         เมื่อวันที่ 12พฤษภาคม 2560 ร.ต.อ.อำพล สมอไทย หน.ชปข.ร้อย ตชด.425 เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 425 ภายใต้อำนวยการของ พ.ต.ท.ธีรศักดิ์ ศรีราชยา ผบ.ร้อย กก.ตชด.42(ร้อย ตชด.425) นำโดย ร.ต.อ.อำพล สมอไทย หน.ชปข.ร้อย ตชด.425 ร.ต.ท.ธีรศักดิ์ นราศรี ผบ.มว.กก.ตชด.42 และเจ้าหน้าที่ ตชด.425 ร่วมกันจับกุมตัว นายศรีรากร หรือเบนซ์ ลือสุวรรณ์ อายุ 32 ปี ที่อยู่ 75/100 ม.10 ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต พร้อมด้วยของกลาง ยาไอซ์ น้ำหนัก 1.85 กรัม จำนวน 1 ถุง น้ำหนัก 0.82 กรัม จำนวน 2 ถุง น้ำหนัก11.47 กรัม จำนวน 1 ถุง ยาบ้า จำนวน 58 เม็ด 1 ถุง ยาบ้า จำนวน 11 ถุง ถุงละ 200 เม็ด รวมยาบ้า ทั้งหมด 2,200 เม็ด และยาบ้า จำนวน 32 ถุง ถุงละ 200 เม็ด รวมยาบ้าทั้งหมด 6,400 เม็ด และเครื่องชั่งดิจิตอล 1 เครื่อง ซึ่งยาเสพติดดังกล่าวพบภายในตัวผู้ต้องหาและภายในห้องพักของผู้ต้องหา โดยสามารถจับกุมได้ที่ บริเวณหน้าร้านอดิศร ผ้าม่าน ถ.ขวาง ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ตต่อเนื่อง บ้านเลขที่ 75/72 ม.10 ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อเวลา 00.30 น. ของวันที่ 9 พ.ค.60 ที่ผ่านมา

         ร.ต.อ.อำพล สมอไทย หน.ชปข.ร้อย ตชด.425 เปิดเผยถึงพฤติการณ์การการจับกุมครั้งนี้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่า นายเบนซ์ ลักลอบขายยาเสพติดให้กับกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ ต.วิชิต และมักพกพายาเสพติดติดตัวเป็นประจำ ต่อมาเวลา 23.30 น. ของคืนวันที่ 8 พ.ค.60 เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่า เห็นนายเบนซ์ อยู่ที่หน้าร้านอดิศร ผ้าม่าน ถ.ขวาง ต.วิชิต จึงได้ไปซุ่มอยู่ จนกระทั่งเวลาประมาณ 00.30 น. เห็นนายเบนซ์เดินอยู่หน้าร้านดังกล่าวท่าทางมีพิรุธ จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจค้น พบยาไอซ์ จำนวน 3 ถุง และพบยาบ้า จำนวน 58 เม็ด และเครื่องชั่งดิจิตอล 1 เครื่อง ทั้งหมดซุกซ่อนอยู่ในถุงพลาสติกใสมีหูหิ้ว จึงควบคุมมาสอบสวนที่ ที่ทำการ ชปข.ร้อย ตชด.425

         จากการสอบสวน นายศรีรากร ให้การยอมรับว่า ยังมียาไอซ์และยาบ้าอีกจำนวนหนึ่งซึ่งตนเองได้ซุกซ่อนไว้ที่บ้านเลขที่ 75/72 ม.10 ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ทางเจ้าหน้าที่ฯจึงได้พาตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นที่บ้านดังกล่าว ปรากฏว่า พบยาไอซ์ 1 ถุง น้ำหนัก 11.47 กรัม ยาบ้า จำนวน 11 ถุง ถุงละ 200เม็ด รวมยาบ้าทั้งหมด 2,200 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในกล่องพลาสติกใสว่างอยู่ใต้โต๊ะเครื่องคอมฯในห้องนอน และพบยาบ้าอีก 32 ถุง ถุงละ 200 เม็ด รวมยาบ้า ทั้งหมด 6400 เม็ด พบซุกซ่อนอยู่บนเพดานห้องน้ำภายในห้องนอนของนายศรีรากรฯ สำหรับยาไอซ์และยาบ้ารวมทั้งหมดที่ตรวจยึดได้ ยาไอซ์ 15.02 กรัม ยาบ้า 8,658 เม็ด มูลค่าประมาณ 1.9 ล้านบาท

         และจากการสอบถาม นายศรีรากรฯ ให้การยอมรับว่า ยาไอซ์และยาบ้าเป็นของตนเองจริงโดยซื้อมาจากเพื่อนคนหนึ่งชื่อ นายหมาดหรือบังหมาด (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง) เพื่อมาขายให้กับวัยรุ่นในพื้นที่ แต่ถูกมาจับเสียก่อน


         ไม่รอดคนร้ายควงปืนบุกชิงเงินร้านสะดวกซื้อกลางเมืองภูเก็ตตำรวจใช้เวลา 14 ชั่วโมงแกะรอยจากกล้องวงจรปิดจนจับกุมได้พบเป็นอดีต รปภ.ตกงานสารภาพหาเงินใช้จ่าย

         จากกรณี เมื่อเวลาประมาณ 03.30 น. วันที่ 19 พ.ค.60) เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ถลาง จ.ภูเก็ต ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ร้ายสะดวกซื้อ ใกล้อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี – ท้าวศรีสุนทร ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ได้ทรัพย์สินไปจำนวนหนึ่งก่อนหลบหนีไป

         หลังรับแจ้ง ร.ต.อ.ไกรสร บุญประสพ พนักงานสอบสวนได้รายงานผู้บังคับบัญชา ก่อนจะเดินทางพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ภายในร้านเซเว่น – อีเลฟเว่น สาขาอนุสาวรีย์ 1 พบพนักงานของร้านสองรายอยู่ในอาการตื่นตกใจ เล่าว่าเมื่อเวลาประมาณ 03.30 น.ของคืนที่ผ่านมา ขณะกำลังเฝ้าร้านอยู่ได้มีคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น ใช้สวมหมวกกันน็อกสีดำอำพรางใบหน้า สวมใส่เสื้อกันฝนสีส้ม ใส่กางเกงขายาวสีดำ และใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดในการก่อเหตุ เข้ามาจี้บังคับให้เอาเงินให้ รวมทรัพย์สินที่ได้ไปเป็นเงินประมาณ 4,100 บาท ก่อนจะหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

         ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบภาพจากกล้องกล้องวงจรปิดภายในร้าน และจากกล้องวงจรปิดและกล้อง CCTV ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อติดตามหาภาพและรูปพรรณคนร้าย รวมถึงเส้นทางหลบหนี โดยพบว่าคนร้ายออกจากร้ายสะดวกซื้อแล้เลี้ยวเข้าไปหลังตลาดสดบ้านท่าเรือเพื่อทิ้ง เสื้อกันฝนและหมวกกันน็อก ก่อนหลบหนีไปทางถนนเทพกระษัตรีขาเข้าเมือง

         สำหรับความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.อ.สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล ผกก.สภ.ถลาง พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ถลางและเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนภูธรจังหวัดภูเก็ต ได้นำตัวผู้ต้องหาคือนาย กูมะไฟซอล กูบอสู อายุ 25 ปี ชาวต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี พร้อมของกลาง เงินสดจำนวน 2,000 บาท อาวุธปืนปลอม เสื้อ – กางเกง และผ้าปิดจมูกที่ใช้ก่อเหตุ มาสอบสวนที่ สภ.ถลาง หลังเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวได้ที่ห้องเช่าไม่มีเลขที่ใกล้บ้านหยี่เต้ง ถนนเทพกระษัตรีฝั่งขาเข้า ห่างจากจุดที่เกิดเหตุ ประมาณ 2 กม.

         โดยเบื้องต้นนาย กูมะไฟซอล สารภาพว่าได้กระทำการจี้ชิงเงินร้านสะดวกซื้อดังกล่าวจริง เพื่อนำเงินไปใช้จ่าย หลังจากที่ตกงานเป็นเวลากว่า 1 เดือนเศษ แต่หลังจากก่อเหตุได้ไม่ถึง 14 ชั่วโมงก็ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวได้

          ทั้งนี้จากประวัติพบว่านาย กูมะไฟซอล เคยติดคุกในคดียาเสพติดเมื่อปี 2554 เป็นเวลา 2 ปีก่อนออกมาทำงานหลายอย่างแต่ก็ไม่เป็นหลักแหล่ง ล่าสุดได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ป่าตอง แต่ก็ถูกไล่ออกจากงานเนื่องจากไปทำงานสายบ่อย ทั้งยังมีประวัติเคยลักทรัพย์(เบียร์)ในร้านสะดวกซื้อมาแล้ว แต่เจ้าทุกข์ไม่เอาความ ก่อนจะมาพักอาศัยกับญาติและก่อเหตุดังกล่าว

         อย่างไรก็ตามหลังจากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนาย กูมะไฟซอล ไปทำแผนที่ร้านสะดวกซื้อและจุดที่ทิ้งเสื้อกันฝนและหมวกกันน๊อก ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย ข้อหา ชิงทรัพย์ต่อไป


         ตร.ภูเก็ต สอบเพิ่ม 2 ผู้ต้องหาใช้พาสปอร์ตปลอม หวังเดินทางไปประเทศที่ 3 ยอมรับมีขบวนการนำพา ติดต่อผ่านเอเย่นดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งทั้งขบวนการปลอมพาสปอร์ต ขบวนการชุบตัว ระบุสอบเบื้องต้นยังไม่พบคนไทยเกี่ยวข้อง ขณะตม.สนามบินยันก่อนเดินทางมีการดำเนินการถูกต้องทุกขั้นตอน ผลตรวจด้วยคอมพิวเตอร์แสกนไม่พบสิ่งผิดปกติ 

         เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 พ.ค.60 ที่ห้องประชุม กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.จิระศักดิ์ เสียมศักดิ์ ผกก.สาคู พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ ผกก.สภ.ป่าตอง พ.ต.ท.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง รองผกก.สภ.ป่าตอง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.สาคู เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ป่าตอง เจ้าหน้าที่สืบสวนภูธรจังหวัดภูเก็ต ร่วมกันแถลงผลการติดตามจับกุม นาย SANDEEP SINGH อายุ 30 ปี สัญชาติอินเดีย และ นาย RAJ KUMAR อายุ 36 ปี สัญชาติอินเดีย ซึ่งหลบหนีออกจากสถานีตำรวจภูธรสาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สาคู นำตัวมาสอบสวน ในข้อหาใช้พาสปอร์ตปลอม และเตรียมนำตัวส่งฟ้องศาล จ.ภูเก็ต แต่ ผู้ต้องหาได้ขอตัวเข้าห้องน้ำ และสูบบุหรี่ หลังจากนั้นได้วิ่งหลบหนีออกจากสถานีตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมได้เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา

         เกี่ยวกับเรื่อง พล.ต.ต.ธีระพล กล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ตได้รับตัวชายทั้ง 2 คน เนื่องจากทางการเกาหลีปฏิเสธที่จะให้เข้าเมือง จึงได้ส่งกลับมาที่ด่านตม.ที่เป็นต้นทาง ซึ่งก็คือด่านตรวจคนเข้าเมืองสนามบินภูเก็ต เมื่อรับตัวกลับมาทางเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจสอบพบว่าทั้ง 2 คนได้ใช้พาสปอร์ตปลอมในการเดินทางจึงได้นำตัวส่ง สภ.สาคูเพื่อนำเนินคดีในข้อหาใช้พาสปอร์ตปลอม ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สาคูจะนำตัวไปฝากขังปรากฏว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 รายได้วิ่งหลบหนีออกจากสถานีตำรวจ ในขณะที่เจ้าหน้าที่เผลอ หลังเกิดเหตุตนก็ได้สั่งหารให้มีการติดตามจับกุมผู้ต้องทั้ง 2 รายทันที จนกระทั้งได้รับแจ้งว่ามีแท็กซี่มิเตอร์รับผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไปส่งที่ป่าตอง จึงได้ออกติดตามค้นหาในพื้นที่ป่าตอง หลังจากนั้นก็ได้รับแจ้งจากประชาชนที่พบเห็นชายทั้ง 2 คน เดินอยู่ในพื้นที่ป่าตองจึงประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบ ซึ่งในส่วนของผู้ต้องหามีการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เพื่ออำพรางตัวเอง แต่สุดท้ายก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าตอง และ สภ.สาคู ติดตามจับกุมตัวได้ในที่สุด เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 21 พ.ค. ที่ผ่านมา

         อย่างไรก็ตามหลังจับกุมทางเจ้าหน้าที่ได้นำตัวมาสอบสวนในเบื้องต้น โดยทั้ง 2 คนยอมรับสารภาพว่าเดินทางมาจากประเทศอินเดีย และต้องการไปทำงานที่ประเทศแคนาดา ซึ่งการเดินทางเข้ามาภูเก็ต มีเอเย่นในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางรวมทั้งการทำหนังสือเดินทางปลอม รวมทั้งเรื่องที่พัก และการเดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการเดินทางเข้ามาประเทศไทยครั้งแรกนั้นเป็นการเดินทางเข้ามาโดยใช้พาสปอร์ตจริง โดยเข้ามาเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ผ่านเข้ามาทางสุวรรณภูมิ หลังจากนั้นอยู่ในประเทศไทยระยะหนึ่งเพื่อรอหนังสือเดินทางปลอมซึ่งนัดส่งมอบกันที่ จ.ภูเก็ต หลังจากนั้นทั้ง 2 คนได้ใช้พาสปอร์ตจริงเดินทางออกไปประเทศมาเลเซีย เพื่อฟอกตัว และเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งซึ่งเข้ามาทางจังหวัดสตูลซึ่งครั้งนี้ได้มีการใช้พาสปอร์ตที่ทำขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อเดิมแต่เปลี่ยนสัญชาติจากอินเดียไปเป็นโปรตุเกต โดยทั้ง 2 รายเดินทางกลับเข้ามาภูเก็ตเมื่อประมาณปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา พักอาศัยในโรงแรม 2 แห่งที่ป่าตองและเดินทางออกไปเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมาจนกระทั้งทางการเกาหลีปฏิเสธในการเข้าเมือง และส่งกลับมาที่จังหวัดภูเก็ตในที่สุด ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้พาสปอร์ตปลอมในการเดินทางเพื่อเข้าไปประเทศแคนนาดานั้นคาดว่าทางแคนนาดาเองมีความเข้มงวดในการตรวจสอบโดยเฉพาะในส่วนของคนอินเดีย จึงได้มีการทำหนังสือเดินทางปลอมขึ้นมาและเปลี่ยนไปใช้สัญชาติโปรตุเกสแทน

         พล.ต.ต.ธีระพล กล่าวต่อไปว่า จากการสอบสวนในเบื้องต้น ยังไม่พบเบาะแสใดๆที่บงชี้ว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คนเกี่ยวข้องกับขบวนการการก่อการร้าย แต่สิ่งที่ทางตำรวจจะต้องสืบสวนขยายผลคือ เรื่องของการทำพาสปอร์ตปลอม ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคนไทยหรือไม่อย่างไร และมีใครเข้าไปเกี่ยวข้องบ้าง แม้ว่าบ้านเราไม่ใช่แหล่งผลิตพาสปอร์ตปลอม แต่เราเป็นแหล่งส่งมอบสินค้า ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จะต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งการสอบสวนจะต้องสอบทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขบวนการที่เกิดขึ้นทั้งหมดในการนำผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ไปยังประเทศที่ 3 ส่วนกรณีการตรวจพาสปอร์ตของตม.ที่ครั้งแรกไม่พบว่าเป็นพาสปอร์ตปลอมนั้นเรื่องนี้ต้องสอบถามทางตม.ว่ามีขั้นตอนการตรวจสอบอย่างไร ส่วนกรณีคนที่นำพาสปอร์ตมาส่งนั้นในเบื้องตนตรวจสอบข้อมูลไม่พบว่ามีคนไทยที่เกี่ยวข้อง คาดว่าน่าจะเป็นคนต่างชาติที่เป็นผู้ดำเนินการ

         ส่วนกรณีการหลบหนีออกจากสถานีตำรวจภูธรสาคู นั้น คนร้ายได้ฉวยโอกาสในช่วงที่เจ้าหน้าที่เผล ขอไปเข้าห้องน้ำและวิ่งหลบหนีออกไปทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ออกติดตามทันทีเช่นกัน ซึ่งหลังจากหลบหนีออกจากโรงพักก็ได้ไปหลบอยู่ที่ป่าตอง สาเหตุที่ทั้ง 2 คนไปในพื้นที่ป่าตองก็เนื่องจากมีความเคยชินกับพื้นที่ดังกล่าวมากกว่าที่อื่นเพราะระหว่างที่รอเดินทางต่อไปประเทศที่ 3 ทั้ง 2 คนเคยเข้าพักโรงแรมที่ป่าตอง เคยไปในที่ที่เคยไป และทั้ง 2 คนไม่กล้าที่จะเข้าพักโรงแรมทำให้ต้องเดินระเห็จอยู่ในป่าตองจนถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ในที่สุด

         ส่วนพาสปอร์ตที่ตรวจยึดไว้ จะต้องมีการส่งไปตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องของตราประทับ ว่าเป็นการประทับจริงหรือปลอม ซึ่งในเบื้องต้นจะต้องนำตัวผู้ต้องหาไปสอบเพิ่มเติมเพื่อหาเครือข่ายที่เชื่อมโยงต่อไป ส่วนกรณีการทำพาสปอร์ตปลอมและการดำเนินการทั้งหมดเพื่อเดินทางไปยังประเทศที่ 3 นั้น จากการสอบถามผู้ต้องหาให้การว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการคนละ 2,000,000 รูปี หรือประมาณ 1 ล้านกว่าบาทถ้าเป็นเงินไทย โดยเป็นค่าดำเนินการทุกอย่างรวมถึงเรื่องของการเดินทางที่พัก และอื่นๆ

         ขณะที่ พ.ต.อ.ศุภโชค หยงสตาร์ ผกก.ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานภูเก็ต  กล่าวถึงกรณีที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ปฏิเสธการเข้าเมืองของชาวต่างชาติ 2 ราย ซึ่งเดินทางออกจาก จ.ภูเก็ต และส่งตัวกลับประเทศต้นทาง ว่า ในการส่งกลับชาวต่างชาติ 2 รายดังกล่าวนั้น ในเบื้องต้นทางเกาหลีไม่ได้มีการแจ้งสาเหตุที่ชัดเจน ถึงการส่งตัวกลับ แต่เป็นลักษณะของการปฏิเสธการเข้าเมือง และคาดว่าน่าจะมีการใช้พาสปอร์ตปลอม หลังจากด่านตรวจคนเข้าเมืองฯ รับตัวชาวต่างชาติ 2 รายดังกล่าวกลับมาก็ได้นำพาสปอร์ตมาตรวจสอบอย่างละเอียด และพบว่าเป็นพาสปอร์ตปลอม จึงได้มีการดำเนินคดีในข้อหา มีและใช้หนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ปลอมฯ ก่อนส่งตัวให้กับทาง สภ.สาคูดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

         ส่วนที่มีข้อสงสัยว่าทำไมด่านตรวจฯ จึงตรวจไม่พบความผิดปกติตั้งแต่การเดินทางออกไป ซึ่ง พ.ต.อ.ศุภโชค กล่าวว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในเบื้องต้น พบว่า ในส่วนของเจ้าหน้าที่ได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนถูกต้องทุกอย่าง โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการตรวจสแกนเล่มหนังสือเดินทาง แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ หรือมีการเตือนแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างละเอียดว่า เกิดความผิดปกติขึ้น ณ จุดใด แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ปัจจุบันการปลอมพาสปอร์ตค่อนข้างทำได้แนบเนียนมาก หลังจากนี้ก็จะต้องเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบชาวเอเชียใต้ที่เดินทางเข้า-ออกมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจะไดนำข้อมูลดังกล่าวมาเป็นกรณีศึกษา เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดตามมา