กลุ่ม“ซีสเตด”ละเมิดอธิปไตย ตั้ง“หมู่บ้านลอยน้ำ”ใกล้ภูเก็ต

         กรณีเวปไซค์ของโอเรียนบิลเดอร์รายงาน กลุ่ม “Seasteading” คิดตั้งหมู่บ้านกลางทะเลนอกน่านน้ำ ใกล้ภูเก็ต หลังประสบความสำเร็จในการสร้าง “บ้านลอยน้ำ” ของสองสามีต่างชาติภรรยาไทย Chad Andrew Elwartowski และ Nadia Summergirl วางโครงการสร้าง 20 หลัง เป็นรัฐอิสระ ปกครองตนเอง  ศรชล.3 ร้อนก้นนัด ลงพื้นที่ตรวจสอบ พบที่พักอาศัยทรง 8 เหลี่ยม 2 ชั้น ลอยอยู่ในทะเลลึก ใกล้เกาะราชา ห่างจากฝั่งแหลมพันวา 39 กม.  การข่าวทรภ.3 ยันผิด พ.ร.บ.ความมั่นคง ละเมิดอธิปไตย และขวางทางเดินเรือ ส่งนายทหารพระธรรมนูญแจ้ง ตร.ดำเนินคดี พบเจ้าของบ้านลอยน้ำเป็นคนอเมริกัน เมียไทย ขณะนี้ ตม.ขึ้นแบล็คลิสต์ และกำลังตามตัวดำเนินคดี ว่าประวัติ ทำธุรกิจ “บิตคอยน์” เคยมีแนวคิดตั้งเป็นเขตปกครองตนเองในต่างประเทศมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ กำลังหนีหัวซุกหัวซุน ส่งอีเมลฟ้องสื่อนอก ถูกทหารตามล่า วอนสถานทูตช่วยพาออกนอกปะเทศ พร้อมขอให้เมียลี้ภัยด้วย

กลุ่ม Seasteading สร้างบ้านทะเล

ใกล้ภูเก็ตคิดปักหลักเป็นรัฐอิสระ

         จากกรณีที่เวปไซค์ของ “โอเรียนบิลเดอร์” ได้รายงานความสำเร็จของ Chad Andrew Elwartowski และ Nadia Summergirl ที่ได้ทำการสร้างที่พักอาศัยตามแนวทางของกลุ่ม Seasteading พร้อมกับได้โฆษณาชักชวนให้ผู้ที่ชื่นชอบในแนวคิดนี้มาอาศัยอยู่ เพื่อจัดตั้งชุมชนโดยมีเป้าหมายที่จะสถาปนาเป็นรัฐอิสระหรือเขตปกครองตนเองขึ้นในอนาคต ในบริเวณอาณาเขตทางทะเลของประเทศไทย โดยมีจุดที่ตั้งเป้าหมายบริเวณทะเลอันดามัน ใกล้เกาะรายา อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา

         ต่อมาเมื่อบ่ายวันที่ 13 เมษายน 2562 เวลา 14.00 น. ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลเขต3 (ศรชล.เขต3 ) โดย พล.ร.ต.กฤษณะ กุณฑียะ เสธ.ทรภ.3 ผู้แทนผอ.ศรชล. เขต3 พร้อมด้วย พ.ต.อ. ขวัญชาติ วงค์ขจรไพรบูลย์ ผกก.8 บก.รน. น.ท.โกวิท ตาละโสภณ รน.ฝ่ายกฎหมาย ศรชล. นายปิยะวัฒน์ ทองขาว เจ้าพนักงานตรวจท่าปฏิบัติการผู้แทนสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาภูเก็ต ร.อ.ประสงค์ แสนประสิทธ์ ร.น. ผบ.เรือ ต.991 ว่าที่ร.ต.วิกรม จากที่ นายอำเภอเมืองภูเก็ต ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้เดินทางไปตรวจสอบดูพื้นที่ตั้ง และร่วมกันตรวจสอบการก่อสร้างที่พักตามแนวทางของกลุ่ม Seasteading ได้ร่วมกันแถลงข่าว ณ กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 แหลมพันวา ต.วิชิต อ.เมือง.ภูเก็ต ภายหลังกลับจากตรวจสอบว่า

         หลังจากที่เวปไซค์ของโอเรียนบิลเดอร์ได้รายงานความสำเร็จของ Chad Andrew Elwartowski และ Nadia Summergirl ในการสร้างที่พักตามแนวทางของกลุ่ม Seasteading พร้อมได้โฆษณาชักชวนให้ผู้ที่ชื่นชอบในแนวคิดนี้มาอาศัยอยู่ เพื่อจัดตั้งที่อยู่อาศัยในทะเลใกล้ๆ กับเกาะภูเก็ต ทาง ศรชล.เขต3 ได้ดำเนินการตรวจสอบแล้วโดยเมื่อวันที่12 เมษายน 2562 ทัพเรือภาคที่ 3 ได้ส่งอากาศยานขึ้นบินสำรวจในทะเลบริเวณตามที่มีการโฆษณาในเว็ปไชด์ดังกล่าวซึ่งทาง กปก.ทรภ.3ได้รายงานตรวจพบวัตถุลอยในทะเลไม่ปรากฏสัญชาติจริงตามที่มีการลงโฆษณาในเว็ปไชด์ดังกล่าว ตั้งอยู่ห่างจากเกาะราชาใหญ่ 12 ไมล์ทะเล

ศรชล.3เร่งตรวจสอบ

ยันละเมิดอธิปไตยชัด

         พล.ร.ต.กฤษณะ เผยการตรวจสอบว่า เมื่อเรือ ต.991 ได้เดินทางไปถึงที่ตั้งดังกล่าว ได้พยายามติดต่อทางวิทยุมารีนแบนช่อง 16 กับสิ่งปลูกสร้างของกลุ่ม Seasteading ปรากฏว่าไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด เรือ ต.991 จึงได้เข้าทำการตรวจสอบ พบว่าสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นสิ่งปลูกสร้างลอยน้ำไม่ปรากฏสัญชาติ และไม่มีผู้อยู่อาศัย และในระหว่างทำการตรวจสอบอยู่นั้น เรือ ต.991 ได้แจ้งเตือนเรือสินค้าจำนวน 3 ลำให้ระมัดระวังในการเดินเรือในเส้นทางดังกล่าว เพราะสิ่งก่อสร้างได้ลอยอยู่ในเส้นทางการเดินเรือปกติ

         จากการตรวจสอบด้วยสายตาพบว่า อาคารลอยน้ำของกลุ่มSeasteading เป็น 2 ชั้น มีขนาด 3 เมตรคูณ 3 เมตร ลักษณะเอียงไปทางด้านข้าง ไม่มีใครอาศัยอยู่ จึงได้ส่งชุดตรวจเยี่ยมเข้าทำการตรวจสอบอาคารดังกล่าว ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งอาหารแห้งครบครันสำหรับการดำรงชีพ

         ทางด้าน ฝ่ายข่าว ทรภ.3ได้ยืนยันแนวความคิดของกลุ่มดังกล่าวว่า จะทำให้เอกราชของประเทศไทยเสื่อมเสีย เนื่องจากพื้นที่ทางอาณาเขตประเทศไทยบางส่วนจะถูกรบกวนสิทธิจากคนกลุ่มนี้ อันเป็นความผิดพ.ร.บ.ความมั่นคง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119  และเป็นการทำให้เอกราชของประเทศไทยเสื่อมเสีย การปลูกสร้างที่อาศัยของกลุ่มSeasteading เป็นการละเมิดสิทธิอธิปไตยของประเทศไทยที่มีเหนือเขตต่อเนื่องตามข้อ 56B และข้อ 60วรรค 7 และวรรค 8 ของอนุสัญญากฎหมายทะเล ค.ศ. 1982

แจ้งความดำเนินคดี2คน

ย้าย “ซีสเตด” ขวางทางเรือ

         โดยทางทัพเรือภาคที่ 3 ต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวซึ่งได้มอบหมายให้นายทหารพระธรรมนูญเข้าแจ้งความดำเนินการคดีกับผู้ก่อสร้างที่ สภ.วิชิตในวันเดียวกันนี้ โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบหลักฐานต่างๆ พบชื่อบุคคลในเวปไซด์โฆษณาชักชวนให้ผู้ที่ชื่นชอบในแนวคิดนี้ มาอาศัยอยู่เพื่อจัดตั้งเป็นชุมชน โดยมีเป้าหมายที่จะสถาปนาเป็นรัฐอิสระ หรือเขตปกครองตนเองขึ้นในอนาคต มีบุคคลที่เกี่ยวข้องอยู่  2  คนเป็นคนต่างชาติ 1 คนและคนไทย 1 คน  และมีชื่ออยู่บนซองยาที่พบบนอาคารลอยน้ำดังกล่าว ทั้งหมดนี้จะนำไปเป็นหลักฐานในการแจ้งความในความผิดผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119

         สำหรับอาคารลอยน้ำที่อยู่กลางทะเลนั้น ก็ต้องรื้อถอน จะทำการลากออกจากทางเดินเรือ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ให้ทางเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 สาขาภูเก็ตดำเนินการในรายละเอียด และต้องทำเร็วที่สุด หากปล่อยไว้อาจจะส่งผลกระทบ และทำให้เกิดปัญหากับการเดินเรือได้ เนื่องจากไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง และการดำเนินการดังกล่าวไม่พบว่ามีการขออนุญาตกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด

เผยโครงการมี20ยูนิต

มูลค่ายูนิตละ 4 ล้านเศษ

         อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวแจ้งว่า ทางกลุ่ม Seasteading มีโครงการที่จะก่อสร้างที่พักอาศัยลอยน้ำในทะเลจุดดังกล่าวจำนวน 20 ยูนิต เป็นการดำเนินการของสองสามีภรรยาที่สามีเป็นชาวต่างชาติและภรรยาเป็นคนไทย ซึ่งจากการตรวจสอบในเบื้องต้นทราบว่าผู้ที่เป็นภรรยาเป็นคนไทยดำเนินธุรกิจบิทคอยด์ อาศัยอยู่ในภูเก็ตได้ว่าจ้างให้มีการต่อที่พักลอยน้ำในพื้นที่ชายฝั่งของภูเก็ตก่อนที่จะลากไปยังจุดดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา ขณะนี้ดำเนินการได้เพียง 1 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นยูนิตทดลองว่ามีใครสนใจหรือไม่ ก่อนที่จะสร้างเพิ่มหากมีผู้ทีมีแนวคิดเดียวกันต้องการ

          บ้านลอยน้ำดังกล่าวเป็นบ้าน 2 ชั้นขนาดเล็กทรงแปดเหลี่ยมตั้งอยู่ในทะเลนอกชายฝั่ง จ.ภูเก็ตโดยสามีภรรยาคู่นี้ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างบ้านหลังนี้อยู่ที่120,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.81 ล้านบาท) ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการลงทุนบิตคอยน์แต่เมื่อก่อสร้างเสร็จสิ้นพบว่าค่าใช้จ่ายอยู่ที่150,000 ดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ4.77 ล้านบาท)

         ขณะเดียวกันมีรายงานด้วยว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2562 ที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต พล.ร.ต.กฤษณะ กุณฑียะ เสนาธิการทัพเรือภาคที่3 เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ได้เข้าร่วมประชุมความมั่นคงจังหวัดเป็นกรณีพิเศษ เรื่องแนวทางการดำเนินการตามกฎหมายเกี่ยวกับseasteading โดยมี นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเป็นประธาน

         ต่อมาภายหลังการประชุม ว่าที่ ร.ต.วิกรม จากที่ นายอำเภอเมืองภูเก็ตกล่าวว่า บ้านลอยน้ำหลังดังกล่าว ก็ต้องให้มีการรื้อถอน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการการหารือกับหน่วยงานต่างๆ ถึงข้อกฎหมาย และรายละเอียดอยู่ คาดว่า 2-3 วันหลังจากนี้จะมีความชัดเจน

         ส่วนประเด็นที่หลายคนแสดงความกังวลว่า หากรื้อถอนบ้านลอยน้ำ สามีภรรยาคู่นี้จะไปอาศัยอยู่ที่ไหน นายอำเภอเมืองภูเก็ตตอบว่า

          “หากรื้อถอนบ้านลอยน้ำเจ้าของบ้านก็ยังมีบ้านที่อยู่บนฝั่งอาศัย ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่า บ้านลอยน้ำหลังนี้สามีภรรยาคู่นี้ก็ไม่ได้อยู่อาศัยในบ้านแล้วนะครับ”

ผู้ว่าฯภูเก็ตเผยขั้นตอน

เคลียร์ “บ้านลอยน้ำ”   

         ต่อมา เมื่อเวลา 10.30 น.ของวันที่ 17 เมษายน 2562 นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เรียกประชุมกรณีชาวต่างชาติ สร้างบ้านลอยน้ำ (Seasteading) เป็นเขตปกครองตนเองในน่านน้ำสากล บริเวณนอกชายฝั่งจังหวัดภูเก็ต ครั้งที่ 2/2562 โดยมี นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.วิทูรย์ กองสุดใจ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นายวันฉัตย ชุณหถนอม เจ้าหน้าที่ชุดพลเรือนประจำชุด คสช.จังหวัดภูเก็ต ตามคำสั่ง คสช. อัยการ กอ.รมน.ภูเก็ต เจ้าท่าภูมิภาค สาขาภูเก็ต ตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ต ตัวแทนจากทัพเรือภาคที่ 3 ประมง โยธาธิการและผังเมือง อุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินการก่อสร้างบ้านพักอาศัยในทะเล ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต

         นายภัคพงศ์ เปิดเผยหลังการประชุมว่า การประชุมดังกล่าว เป็นการติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง กรณีที่มีการสร้างวัตถุลอยน้ำในน่านน้ำใกล้กับเกาะภูเก็ต ห่างจาเกาะราชาใหญ่กว่า 12 ไมล์ หรือห่างจากเกาะภูเก็ตไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากบริเวณแหลมพันวา 39 กิโลเมตร หลังจากที่ได้มีการประชุมไปแล้ว 2 ครั้งในวันที่ 13 และ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งการดำเนินการนั้นได้แบ่งการตรวจสอบออกเป็น 2 ส่วน คือ การตรวจสอบในทะเล ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของ ศรชล. เขต 3 และการตรวจสอบบนบก หรือในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในจังหวัดภูเก็ตทั้งหมด

         โดยการประชุมติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบในพื้นที่รับผิดชอบของจังหวัดภูเก็ตนั้น ทางจังหวัดได้มีการตรวจสอบในส่วนของการว่าจ้างก่อสร้างวัสดุลอยน้ำดังกล่าว ว่าได้มีการก่อสร้างในพื้นที่ใดของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งจากการตรวจสอบของอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ตทราบแล้วว่าอยู่จุดไหนของเกาะภูเก็ต ทางอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ตจะได้เข้าไปตรวจสอบว่าโรงงานที่มีการก่อสร้างวัสดุลอยน้ำดังกล่าวมีใบอนุญาตดำเนินการถูกต้องหรือไม่อย่างไร

         นายวัชรินทร์ ไชยานุพงศ์ อุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าโรงงานที่ก่อสร้างวัสดุลอยน้ำ หรือ บ้านลอยน้ำในทะเลนั้น ตั้งอยู่ที่บ้านคอเอน หมู่ที่ 7 ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เป็นโรงงานอู่ต่อเรือ จากการตรวจสอบในเบื้องต้นทราบว่า โรงงานดังกล่าวไม่ได้ขอใบอนุญาตเปิดเป็นโรงงานต่อเรือแต่อย่างใด ซึ่งถือว่าฝ่าฝืนกฎหมาย จะต้องมีการดำเนินการสั่งปิดต่อไป

ตม.ขึ้นแบล็คลิสต์

เจ้าของ “ซีสเตด”

         ในส่วนของเจ้าของบ้านลอยน้ำดังกล่าว ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยชาวต่างชาติ และ ผู้หญิงไทย ซึ่งเป็นภรรยา นั้น พ.ต.อ.คฑาธร คำเที่ยง ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากการตรวจสอบทราบว่า คนต่างด้าวที่เป็นผู้ดำเนินการลงทุนก่อสร้างบ้านลอยน้ำนั้น เข้าเมืองมาโดยใช้วีซ่าประเภทคนอยู่ชั่วคราว หรือ นอน-อิมมิแกรนท์ (Non-Immigrant) ซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยได้ 90 วัน หลังจากนั้นได้มีการต่อวีซ่ามาโดยตลอด วีซ่ายังไม่ขาด แต่เมื่อเกิดเหตุทางทัพเรือภาคที่ 3 ได้รายงานเข้ามายังตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ต ว่า บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว เข้ามาดำเนินการในลักษณะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง มาตรา 12 บุคคลต่างด้าวที่มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อสังคม และความปลอดภัยของประชาชน และความมั่นคงของราชอาณาจักร ทาง ตม.ภูเก็ตได้เสนอขออนุมัติเพิกถอนวีซ่าอยู่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าวดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว และได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาเรียบร้อยแล้วเช่นกัน จึงได้มีการดำเนินการลงบันทึกเป็นบุคคลต้องห้ามเข้าราชอาณาจักรแล้ว

         พ.ต.อ.คฑาธร กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพบว่าบุคคลต่างด้าวคนดังกล่าว มีที่พักอาศัยอยู่ในภูเก็ตตามที่ได้แจ้งไว้จริง แต่จากการลงพื้นที่ตรวจสอบไม่พบคนต่างด้าวรายดังกล่าวอาศัยอยู่ในบ้านหลังที่ได้แจ้งไว้กับ ตม.โดยเข้ามาภูเก็ตตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และจากการตรวจสอบพบว่ามีความสัมพันธ์กับคนไทยในการดำเนินการสร้างบ้านอาศัยในทะเลหลังดังกล่าว

         อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะมีการแจ้งให้บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าวทราบว่า ไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในประเทศไทยอีก และจากการตรวจสอบตามเอกสาร ตม.บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าวยังอาศัยอยู่ในประเทศไทย ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศแต่อย่างใด ขณะนี้อยู่ในระหว่างการติดตามตัว โดยมีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามตัวต่อไป

ตร.แจง2ขั้นตอน

วิธีการดำเนินคดี

         ส่วนความคืบหน้าทางคดีนั้น พ.ต.อ.วิทูรย์ กองสุดใจ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ทางทัพเรือภาคที่ 3 ได้ส่งนายทหารพระธรรมนูญมาแจ้งข้อกล่าวหาคนต่างด้าวและคนไทยที่ดำเนินการก่อสร้างบ้านพักอาศัยลอยน้ำดังกล่าว ที่ สภ.วิชิตแล้ว ในข้อหา ร่วมกันกระทำผิดเรื่องความมั่นคง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการรวบรวบพยานหลักฐานกับผู้กระทำผิดทั้งสองคน โดยแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ในทะเล ขึ้นอยู่กับทัพเรือภาคที่ 3 และ เจ้าท่า คือ การเดินเรือ และบนบก ในเรื่องของการต่อเรือ ว่าดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่อย่างไร ซึ่งในส่วนนี้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลในเรื่องนี้แล้ว

         นายวิวัธน์ ชิดเชิดวงศ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาภูเก็ต ระบุว่า ในส่วนของเจ้าท่าได้แจ้งเตือนให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณดังกล่าวควบคู่กับการแจ้งเตือนของกรมอุทกศาสตร์ ส่วนการจะเคลื่อนย้ายนั้น ทางเจ้าท่าฯจะหารือกับทางทัพเรือภาคที่ 3 อีกครั้งหนึ่ง โดยใช้ พ.ร.บ.ศรชล.ในการดำเนินการกับสิ่งปลูกสร้างในทะเลต่อไป

ตรวจอู่ต่อ “บ้านลอยน้ำ”

พบเป็นโรงงานเถื่อน

         เมื่อเวลา 15.00 น. ของวันเดียวกัน (17 เม.ย.62) นายวัชรินทร์ ไชยานุพงศ์ อุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย นายศิวัช ระวังกุล จ่าจังหวัด พ.ท.ณัฐภูมิ ฉัตรภูมิ ผบ.พันสห.41 หัวหน้าชุด ชป.สห.รส.ทภ.4, ร.ท.วัฒนชัย คล่องประดิษฐ์ หัวหน้าชุดปฏิบัติการรักษาความสงบเรียบร้อย จ.ภูเก็ต กรมทหารราบที่ 25, ที่ดินจังหวัดภูเก็ต สาขาถลาง,  ผู้แทนจากสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 9, ผู้แทนจากองค์การบริหารส่วนตำบลไม้ขาว (อบต.ไม้ขาว) และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ลงตรวจสอบอู่ต่อเรือ ซึ่งตั้งอยู่ที่ บริเวณบ้านหยิด หมู่ที่ 7 ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต

         พบเป็นอาคารโรงเรือน ซึ่งสร้างอยู่บนที่โล่งแจ้ง ภายในอาคาร กำลังมีการต่อเรือขนาดใหญ่ พร้อมด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ในการต่อเรือและซ่อมเรือ โดยภายในบริเวณด้านนอกอาคารก็มีเรือที่อยู่ระหว่างรอการซ่อมแซมอยู่จำนวนหนึ่งด้วย  นอกจากนี้ยังพบชายชาวต่างชาติ 1 คน และ คนไทย 1 คน จากการสอบถามเบื้องต้น ทราบเพียงว่า ได้เช่าพื้นที่ดังกล่าวสำหรับใช้เป็นสถานที่ในการต่อเรือ และซ่อมเรือยอชต์ ส่วนเอกสารรายละเอียดต่างๆ จะอยู่ที่บริษัทซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 2 ต.ไม้ขาว อ.ถลาง ทางเจ้าหน้าที่ฯ จึงได้ให้ประสานกับพนักงานที่อยู่ที่สำนักงานของบริษัทฯ นำมาให้ตรวจสอบ พบว่ามีการขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทถูกต้อง แต่ไม่พบเอกสารรายละเอียดในการขออนุญาตจัดตั้งโรงงาน ตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535

         นอกจากนี้ทางคณะเจ้าหน้าที่ฯ ยังได้ไปตรวจสอบบริเวณที่คาดว่า เป็นจุดที่มีการลากในส่วนของอาคาร 8 เหลี่ยม ลงไปเพื่อนำไปติดตั้งในทะเล ซึ่งมีการระบุว่า ได้ทำการว่าจ้างอู่ต่อเรือดังกล่าวดำเนินการต่ออาคาร 8 เหลี่ยม ส่วนเรื่องอื่นไม่ทราบ

         ทั้งนี้ได้มีการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ อบต.ไม้ขาว ไปทำการตรวจสอบเอกสารการขออนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด เช่น การขออนุญาตก่อสร้างอาคาร รวมทั้งให้ตรวจสอบพื้นที่ด้วยว่า เป็นพื้นที่ประเภทใด และสามารถขออนุญาตจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรมได้หรือไม่อย่างไร รวมทั้งตรวจสอบการขุดถมดินตามในคลิป ว่ามีการขออนุญาตหรือไม่ โดยให้รายงานจังหวัดทราบภายในวันที่18 เมษายน 2562

         อุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต กล่าวภายหลังการตรวจสอบว่า ในเบื้องต้นจากการตรวจสอบไม่พบว่ามีการขออนุญาตจัดตั้งโรงงาน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะเร่งทำบันทึกเพื่อแจ้งให้ทางบริษัททราบ และดำเนินการเรียกปรับตามกฎหมาย และให้ดำเนินการขออนุญาตให้ถูกต้อง ถ้าไม่มีการดำเนินการหรือไม่ยอมรับก็จะต้องมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อไป ส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่นก็ให้แต่ละหน่วยงานเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งในส่วนของอุตสาหกรรมนั้นจะดูในเรื่องของการจัดตั้งโรงงานว่าทำถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่

ผอ.ศรชล.3ยกทีมแถลง

ความเป็นมาของคดี

         และในวันเดียวกัน (17 เม.ย.62) ที่กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 พล.ร.ท.สิทธิพร มาศเกษม ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขต 3 (ศรชล. เขต 3 ) พร้อมด้วย นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายวิวัธน์ ชิดเชิดวงศ์ เจ้าท่าภูมิภาค สาขาภูเก็ต และตัวแทนตำรวจน้ำภูเก็ต ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าการดำเนินคดีกับชาวต่างชาติและภรรยาคนไทย ที่ได้นำสิ่งก่อสร้างเทียมที่มีลักษณะคล้ายที่พักอาศัย ไปติดตั้งไว้ในทะเลใกล้ๆ กับเกาะภูเก็ต ห่างจากเกาะราชาใหญ่ 21 ไมล์ทะเล และการโฆษณาชักชวนผ่านทางเว็ปไชด์ของโอเรียนบิลเดอร์ ของกลุ่ม Seasteading เชิญชวนกลุ่มบุคคลที่มีแนวคิดในการก่อตั้งรัฐอิสระ หรือ ปกครองตนเอง มาซื้อสิ่งก่อสร้างเทียมดังกล่าว เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา ภายหลังประชุมร่วมกับหน่วยงานใน ศร.ชล เขต 3 ถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีการเอาผิดกับชาวต่างชาติและภรรยาคนไทยรายดังกล่าว

         พล.ร.ท.สิทธิพร กล่าวว่า กรณีนี้ทางทัพเรือภาคที่ 3 และหน่วยงานใน ศรชล. เขต 3 ได้ดำเนินการตรวจสอบในจุดที่มีการติดตั้งสิ่งปลูกสร้างเทียม เมื่อวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา และได้แจ้งความดำเนินคดีกับคนต่างชาติและภรรยาคนไทยไปแล้ว ที่ สภ.วิชิต โดยตั้งข้อหากล่าวโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 ซึ่งสิ่งก่อสร้างเทียมดังกล่าวทำให้เอกราชของประเทศไทยเสื่อมเสีย เป็นการละเมิดสิทธิอธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งมีเอกสารหลักฐานที่สามารถเอาผิดได้ จากการโฆษณาชักชวนผ่านทางโซเชียลให้บุคคลอื่นมาอยู่อาศัย ถือว่าเป็นการรบกวนอธิปไตยของไทยและมีผลต่อความมั่นคง

         ผอ.ศรชล เขต 3 ระบุต่อว่า สำหรับสิ่งก่อสร้างเทียมที่อยู่ในทะเลเขตต่อเนื่องนั้น จากการหารือร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ใน ศรชล.เขต 3 รวมไปถึงทางจังหวัดภูเก็ต ได้มีการเตรียมความพร้อมในการที่จะเคลื่อนย้ายสิ่งก่อสร้างเทียมมายังชายฝั่ง เนื่องจากสิ่งก่อสร้างเทียมชิ้นดังกล่าวเป็นวัตถุพยานชิ้นสำคัญที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายกับคนต่างชาติและภรรยาคนไทย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเตรียมการ คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้เร็วๆ นี้ รวมถึงหากปล่อยไว้ในทะเล จะกระทบต่อการเดินเรือ ทั้งเรือประมง เรือท่องเที่ยว และเรือสินค้าอีกด้วย

เป็นคนอเมริกันเมียไทย

ทำธุรกิจ “บิตคอยน์”

         ขณะที่ นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากการตรวจสอบในเบื้องต้นทราบว่า ชาวต่างชาติคนที่เข้ามาดำเนินการสิ่งก่อสร้างเทียมในทะเลต่อเนื่องของไทยนั้น เป็นคนสัญชาติอเมริกัน และภรรยาเป็นคนไทย เป็นคนมาจากต่างจังหวัด ไม่ใช่คนภูเก็ต โดยเข้าเมืองมาเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2561 มีบ้านพักอยู่ที่ตำบลราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต และก่อนหน้านี้เคยคิดที่จะดำเนินการประกาศเป็นรัฐอิสระ ปกครองตนเอง ในต่างประเทศมาแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากเป็นการละเมิดอธิปไตยของประเทศนั้น จึงได้ถอนตัวและมีการดำเนินการในทะเลใกล้ๆ เกาะภูเก็ตในขณะนี้ โดยใช้ช่องว่างของกฎหมายในการดำเนินการในทะเลต่อเนื่องของไทยที่ภูเก็ต และจากการสืบสวนยังทราบอีกว่า สองสามีภรรยาคู่นี้ทำธุรกิจการเงิน “บิตคอยน์” 

         อย่างไรก็ตาม ในส่วนของความคืบหน้าการตรวจสอบในด้านอื่นๆ นั้น ขณะนี้ทาง ตม.ได้มีการถอนวีซ่าของชาวต่างชาติรายดังกล่าวไปแล้ว และขึ้นแบล็กลิสต์ไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ตลอดชีวิต รวมไปถึงการตรวจสอบในเรื่องของความสัมพันธ์กับคนไทยในการว่าจ้างก่อสร้างสิ่งก่อสร้างเทียม ว่าโรงงานดังกล่าวมีใบอนุญาตหรือไม่ มีการจดทะเบียนพาณิชย์ถือไม่เพราะมีการโฆษณาชักชวนให้ซื้อสิ่งก่อสร้างเทียมดังกล่าว

ส่งอีเมลฟ้องสื่อนอก

ถูกทหารไทยตามล่า

          สำนักข่าว ดับเบิลยูเอ็กซ์วายซี (WXYZ) ของเมืองดีทรอยต์ ในรัฐมิชิแกนสหรัฐฯ รายงานว่า นายแชด เอลวาร์ตอฟสกี และแฟนชาวไทยของเขาคือ น.ส. สุปราณี เทพเดช หรือ นาเดีย ยืนยันว่าพวกเขากำลังหลบหนีจากตำรวจในประเทศไทย หลังจากถูกรัฐบาลกล่าวหาว่า พยายามอ้างความเป็นเจ้าของน่านน้ำของไทย ด้วยการสร้าง ‘ซีสเตด’ (seastead) หรือที่พักอาศัยซึ่งตั้งอยู่ในทะเลนอกเขตอำนาจของประเทศใดๆ นอกชายฝั่งเกาะภูเก็ต

          นายเอลวาร์ตอฟสกี ระบุในอีเมลที่เขาส่งให้กับช่อง ‘7 แอคชัน นิวส์’ ของดับเบิลยูเอ็กซ์วายซี ว่าเขาเป็นห่วงในชีวิตของตัวเองกับแฟนของเขา และตอนนี้พวกเขากำลังหลบซ่อนตัว

         “ทหารไทยต้องการให้เราตาย วิธีที่พวกเขาใช้ที่นี่คือ สร้างเรื่องราวขึ้นมาในสื่อของพวกเขา และก็เอามันมาใช้ เรื่องราวที่ว่า คือเราเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ และเราอาจเผชิญโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหาร พวกเขาไม่ต้องการให้เรารอดเพื่อเล่าเรื่องฝั่งเรา”

          ทั้งนี้ นายเอลวาร์ตอฟสกีจบจากมหาวิทยาลัยรัฐมิชิแกน และเคยเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านไอทีของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่ตอนนี้กำลังใช้ชีวิตกึ่งเกษียณอายุหลังจากไปลงทุนในเงินดิจิตอล ‘บิตคอยน์’ และตามการเปิดเผยของเขา ทั้งคู่อาศัยในซีสเตดเจ้าปัญหาหลังนี้เป็นครั้งคราวเป็นเวลาประมาณ 2เดือน

         คู่รักคู่นี้ต้องการใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระจากกฎหมายของรัฐบาลประเทศใดๆ ซึ่งเป็นแนวคิดที่เรียกว่า ‘อิสรนิยม’ โดยผู้ที่มีแนวคิดแบบเดียวกันนี้ริเริ่มการสร้าง ซีสเตด มาตั้งแต่ปี 2511 แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ

         จนถึงตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่า นายเอลวาร์ตอฟสกี กับแฟนหนีไปอยู่ที่ใด หลังจากหลบหนีจากซีสเตด แต่เขาระบุในเฟซบุ๊กว่า กำลังต้องการความช่วยเหลือ และขอร้องให้ใครก็ตามช่วยพวกเขาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลในไทยเพื่อให้ไปคุยกับผู้นำกองทัพไทย

         “ใครบางคนในระดับสูงของสหรัฐฯ ที่สามารถช่วยได้ ผมจำเป็นต้องไปสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ หรือที่ใดสักแห่งในภูเก็ตเพื่อพาผมออกไปจากประเทศนี้ ผมต้องการความช่วยเหลือเรื่องนาเดีย ซึ่งเป็นพลเมืองไทย เธอต้องไปสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ เพื่อที่จะขอลี้ภัย”

          ซีสเตดเจ้าปัญหาสร้างโดยบริษัท ‘โอเชียน บิลเดอร์ส’ อยู่ห่างจากชายฝั่งเกาะภูเก็ตมากกว่า 12 ไมล์ทะเล ซึ่งผู้สร้างอ้างว่า เป็นน่านน้ำสากล อย่างไรก็ตาม นายปาตรี ฟรีดแมน ผู้ก่อตั้งองค์กร ‘ซีสเตดดิ้ง อินสติจูด’ ซึ่งส่งเสริมการสร้างเมืองลอยทะเล แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กว่า “ระยะห่าง 12 ไมล์ทะเลไม่ได้หมายความว่าอยู่ในน่านน้ำสากล”

         “มันคือ เขตต่อเนื่อง (Contiguous Zone) ที่ประเทศมีสิทธิ์ในพื้นที่มากมาย และหลายอย่างนั้นก็ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อย่าไปฟังคนที่บอกว่า น่านน้ำสากลเริ่มที่ 12 ไมล์ทะเล เพราะมันหมายหนึ่งพวกเขาใช้เวลาอ่านวิกิพีเดียไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ”  นายฟรีดแมน กล่าวเสริมว่า “และแม้แต่น่านน้ำสากลจริงๆ (ห่างชายฝั่งมากกว่า 200 ไมล์ทะเล) ก็ไม่ใช่แดนสวรรค์ของอิสรภาพที่คุณจะสามารถไปปักธงและอยู่อย่างเสรีได้”

         ก่อนหน้านี้ คู่รักทั้งสองคนออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของทางการไทยที่ระบุว่า พวกเขาคุกคามอธิปไตยของประเทศ โดยโพสต์เฟซบุ๊กว่า

          “นาเดียกับผมไม่ได้ออกแบบ, ก่อสร้าง, หรือจ่ายเงินเพื่อให้สร้างซีสเตด เราส่งเสริมและอาศัยอยู่ในนั้น เราช่วยอัพเดตข้อมูลให้ผู้สร้าง และเราเข้าร่วมในการเปิดโครงการ เราไม่ได้เป็นผู้ติดสินใจว่าจะตั้งซีสเตดที่ใด เราเป็นผู้สนับสนุนโครงการที่กระตือรือร้น และโชคดีพอจะได้เป็นคนแรกที่อาศัยอยู่ที่นั่น การล่าพวกเขาจนตายเป็นเรื่องที่โง่เขลาและตอกย้ำว่าทำไมบางคนจึงอยากจะออกไปอยู่กลางทะเล เพื่อหนีจากรัฐบาลทั้งหลาย”

เผยกำลังสอบขยายผล

หาแนวร่วมขบวนการ

          เมื่อวันที่18 เมษายน 2562 นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการเอาผิดกับชาวต่างชาติและภรรยาคนไทย ที่สร้างบ้านลอยน้ำในทะเลใกล้กับเกาะภูเก็ต ว่าเบื้องต้น พบว่าเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 เนื่องจากพื้นที่อาณาเขตประเทศไทยบางส่วนถูกรบกวนสิทธิจากกลุ่มคนดังกล่าว ทาง ทรภ. 3 โดยศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขต 3 (ศรชล. เขต 3 ) ได้รวบรวมหลักฐานต่างๆ แจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่ประกาศความสำเร็จของการก่อสร้างผ่านทางเวปไซด์ไว้ที่ สภ.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต

         ส่วนการดำเนินคดีอื่นๆ นั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบและขยายผล ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น สั่งการให้อุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ตตรวจสอบการขออนุญาตจัดตั้งโรงงาน ซึ่งพบว่าไม่มีการขออนุญาตจัดตั้งโรงงาน, สำนักงานพาณิชย์จังหวัดภูเก็ต ตรวจสอบการขออนุญาตจัดตั้งบริษัท กรณีมีการประกาศเชิญชวนผ่านทางเวปไซด์ให้ซื้อสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งไม่พบการจดทะเบียนบริษัทหรือการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเช่นกัน การตรวจสอบที่ดินที่ที่มีการจัดตั้งโรงงานหรืออู่ต่อเรือ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของทางสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต สาขาถลาง เป็นต้น

          ส่วนการดำเนินการกับสิ่งปลูกสร้างในทะเล จากการหารือร่วมกับทางทัพเรือภาคที่ 3 โดยอำนาจของ ศรชล.เขต 3 เพื่อกำหนดแนวทางในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว เนื่องจากถือเป็นวัตถุพยานในทางคดี ก็จะดำเนินการในเร็วๆ นี้ ตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

ยันไทยดำเนินคดีได้ชัวร์

เพราะกระทำผิดแล้ว

          นายสุพจน์ กล่าวอีกว่า จากการประชุมร่วมกับ ศรชล.เขต 3 ยืนยันว่า ทางการไทยสามารถดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ เพราะพบว่ามีการกระทำผิดแล้ว โดยการประกาศเชิญชวน พบว่ามีผู้สนใจที่จะเข้าร่วมแล้วประมาณ 14 ราย และหลังจากที่มีการแจ้งความทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็อยู่ระหว่างการติดตามตัวมาดำเนินคดี แต่พบว่า ขณะนี้ชายชาวต่างชาติดังกล่าวพยายามใช้โซเซียลในการส่งข้อความถึงสถานทูตสหรัฐอเมริกาและสื่อต่างประเทศว่าได้รับความเดือดร้อนจากการถูกติดตามตัวจากเจ้าหน้าที่ของไทยตามที่มีการนำเสนอข่าวอยู่ และจากประเด็นดังกล่าวก็จะได้มีการให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศประจำภูเก็ต และการเตรียมข้อมูลชี้แจงกับทางสถานทูตสหรัฐฯ หากมีการร้องขอเข้ามา

         “ยืนยันว่าการติดตั้งวัตถุดังกล่าวอยู่ในอาณาเขตของประเทศไทย จึงมีอำนาจในการดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนความเชื่อมโยงเกี่ยวกับกรณีการหลอกลวงนั้นขณะนี้ในการตรวจสอบยังโยงไม่ถึง” นายสุพจน์ กล่าวและว่า

         ชายชาวต่างชาติและภรรยา ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด แต่เชื่อได้ว่าน่าจะยังอยู่ใน จ.ภูเก็ต โดยดูจากโพสต์ข้อความผ่านทางโซเซียล ขณะที่ประเด็นความผิดนอกจากความผิดตามมาตรา 119 แล้ว ในส่วนของประเด็นเบ็ดเตล็ดอื่นๆ อยู่ระหว่างการตรวจสอบ รวมไปถึงการขยายผลไปยังผู้ให้การสนับสนุนที่ทำให้เกิดความผิด เบื้องต้นพบมีผู้เกี่ยวข้องทั้งที่เป็นคนไทยและต่างชาติ โดยพอจะทราบตัวบุคคลแล้ว ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องในลักษณะการให้ใช้พื้นที่ในการก่อสร้าง แต่ก็ต้องสอบสวนดูว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นโดยเจตนาหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

          ด้าน พ.ต.อ.วีระวัฒน์ จันทรวิจิตร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการออกหมายจับนั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งในทางกฎหมายก็ต้องมีการรวบรวมพยานหลักฐานให้แน่ชัดว่าความผิดดังกล่าวเกิดในราชอาณาจักรหรือไม่อย่างไร โดยมีการประสานกับทางอัยการจังหวัดอย่างใกล้ชิด และหากมีการรวบรวมพยานหลักฐานแล้วพบว่า เป็นความผิดนอกราชอาณาจักร ก็จะได้ทำหนังสือถึงอัยการสูงสุด เพื่ออนุมัติการสอบสวนตามขั้น


#Phuket
#Thailand
#กินไหนดีภูเก็ต
#มีเดียภูเก็ต
#ข่าวภูเก็ต
#ท่องเที่ยวภูเก็ต
#อาหารภูเก็ต
#ช้อปปิ้งภูเก็ต​
#โรงแรมภูเก็ต​
#อสังหาฯภูเก็ต​
#เศรษฐกิจ​ภูเก็ต​
#www.phuketprice.com
#ภูเก็ตไพรซ์