“ส่วย”ภูเก็ตก่อเหตุเดือดทั้งแผ่นดิน หลักฐานทั้งพยาน-วงจรปิด

         นายกรัฐมนตรีเดือดดาล ถูกขบวนการเขมือบ “ส่วย” เอาชื่อองค์กรไปอ้าง หลังมีการร้องเรียน และเปิดโปงการรีดส่วย ของบรรดาข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายปกครอง และฝ่ายปราบปรามที่จังหวัดภูเก็ตเดือนละกว่า 100 ล้านบาท โดยเฉพาะด้านตำรวจ มีการสั่งตรวจสอบ ในเบื้องต้นพบมีมูล จนเป็นที่มาของการสั่งย้ายตำรวจพื้นที่ป่าตอง แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของภูเก็ต ออกนอกพื้นที่ยกกระบิ และล่าสุดเปิดโปงต้องซื้อเก้าอี้ “ผู้กำกับ” 40 ล้าน ยังบานปลายถึง “สะเดา” สงขลาด้วย กระทั่ง “บิ๊กตู่” สั่งกำชับใน ครม.ให้มีการจัดการปราบทุจริตขั้นเด็ดขาด

“โจ้” เขย่าตร.รอบสอง

บานถึง“สะเดา”สงขลา

         เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ จัดเสวนา “ขบวนการส่วยตำรวจไทย… หายนะภัยของชาติและประชาชน” เชิญ “โจ้ สปอร์ตไลท์” ผู้กล้าจุดชนวนระเบิด 100 ล้าน “ส่วย” ภูเก็ต ด้วยการเข้าร้องนายกฯ ตู่ จนวุ่นกันทั้ง “สำนักปทุมวัน” ขึ้นเวที กระแทกหน้าตำรวจอีกรอบกลางวงเสวนา เปิดถ้วยส่วยภูเก็ต ว่าเกิดจากการซื้อขายเก้าอี้ ผกก. สูงถึง 40 ล้านบาท แล้วยังบานปลายปูดถึงชายแดนสะเดา บอกหนักกว่าภูเก็ตถึง 2 เท่า

         เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 19 พฤศจิกายน ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการจัดเสวนาของเครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร) Police Watch โดยจัดเสวนาหัวข้อ “ขบวนการส่วยตำรวจไทย หายนะภัยของชาติและประชาชน!” ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายธรรมรัตน์ สุวรรณโพธิศรี หรือ โจ้ สปอตไลท์ภูเก็ต ผู้ก่อตั้งและเป็นแอดมินเพจ “Spotlight Phuket” พร้อมตัวแทนผู้ประกอบการที่ถูกเรียกเก็บส่วย ที่โด่งดังจากการเข้าร้องเรียนสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ตรวจสอบตำรวจพื้นที่ จ.ภูเก็ต เรียกเก็บส่วยจากผู้ประกอบการและแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าตองเดือนละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท กล่าวว่า ในพื้นที่มีธุรกิจ สีขาว สีเทา โดยเฉพาะสถานบันเทิง มีการจ้างงานแรงงานต่างด้าว การเปิดกิจการต่างๆ เช่น สถานที่จำหน่ายสิ่งของละเมิดลิขสิทธิ์ โต๊ะบอล หวย ต้องจ่ายให้กับตำรวจพื้นที่บางคน หน่วยไหนจะมาเก็บส่วย ต้องไปคุยส่วนแบ่งกับนายตำรวจบางคนในป่าตอง จะจ่ายกันแค่ไหนกี่เปอร์เซ็นต์แล้วแต่ตกลง รศ.ดร.สังศิต พิริยรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจและที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการปฏิรูปตำรวจ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และ น.ส.สมศรี หาญอนันทสุข ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ ดำเนินรายการเสวนาดังกล่าวโดย นายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ

         นายธรรมรัตน์ กล่าวถึงสาเหตุที่เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และจเรตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กรณีส่วยใน จ.ภูเก็ต เนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนมากทนไม่ไหว รวมทั้งตำรวจดี จำนวนมากที่ไม่อยากอยู่ในขบวนการ จึงมอบหมายให้ตนเองเป็นตัวแทนเปิดเผยเรื่องต่างๆ ให้สังคมภายนอกได้รับรู้ และทราบว่าล่าสุดตำรวจจำนวนหนึ่งถูกคำสั่งย้ายพ้นจากพื้นที่

         นายธรรมรัตน์ เปิดเผยถึงสาเหตุการเก็บส่วยใน จ.ภูเก็ตว่า มีหลายเรื่อง โดยเฉพาะระบบการเซ้ง หรือสัมปทานตำแหน่งต่างๆ ในโรงพัก ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งในการนำไปสู่การเก็บส่วยเพื่อทดแทนเงินที่เสียไป และรูปแบบการเก็บก็มีพัฒนาการ และมีการบริหารจัดการ ซึ่งจุดแตกหักเกิดจาก พอมีการซื้อตำแหน่งยกแพ็คไว้ 5 สถานี ก็เลือกคนมานั่ง เหมือนการไปเซ้งที่เอาไว้ แล้วหาผู้จัดการสาขาไปนั่ง 5 สถานี แต่ห้ามแตะส่วย เพราะจะมีแม่บ้านไปคอยเก็บ ต่อมาเปลี่ยน ผกก.คนใหม่ มีการคืนตั๋ว ไม่เอาส่วย นั่นคือระเบิดเวลา ที่มีการส่งข้อมูลมาจากผู้ประกอบการ รวมทั้งตำรวจที่ไม่อยากร่วมขบวนการมาให้ตน ซึ่ง 60 เปอร์เซ็นต์เป็นข้อมูลได้จากตำรวจเอง ซึ่งยังมีตำรวจดีเยอะมากที่ไม่อยากทำ ถ้าไม่ทำก็โดนให้ไปโบกรถบนเขา

         “ที่ผมกล่าวหาและถูกแจ้งความว่า มีการซื้อขายตำแหน่ง 5 โรงพัก เดี๋ยวนี้มันเป็นธุรกิจ ซื้อโรงพักเกรดเอ 1.ป่าตอง เดือนหนึ่งเก็บได้แน่ๆ 8-22 ล้าน เฉพาะพื้นที่ ไม่ต้องนับหน่วยอื่น  และหน่วยงานอื่นในพื้นที่จ.ภูเก็ต และยังข้ามไปถึงจ.ระนองและจังหวัดในพื้นที่ตำรวจภูธร9ซึ่ง 5 พื้นที่นี้เหมือนถูกเซ้ง ตรงไหนขายดี ขายไม่ดี ก็ถัวเฉลี่ยกันไป ผมเคยโดนตำรวจระดับลูกน้องล้อมกรอบ ขู่ และแจ้งความ” นายธรรมรัตน์ ยืนยัน

         นายธรรมรัตน์ ระบุอีกว่า ช่วงปี 2553 มีการรวบส่วยของทุกหน่วยมาไว้ตรงกลาง จึงเป็นต้นเหตุทำให้หน่วยอื่นต้องไปเก็บเอง แม้ต่อมานายตำรวจระดับสูงรายหนึ่งย้ายออกไป แต่ขบวนการส่วยก็ยังเดินไปเรื่อยๆ และคนเดินเก็บก็รู้จักคนมากขึ้น บางครั้งมีการขอเหมาประมูลเอง เช่น ส่งให้นายเดือนละ 3 ล้านแต่ขอ 20% พอเศรษฐกิจลง สวนทางกับการเก็บส่วยที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนมาสูงมากสุดในปีนี้ ทำให้ผู้ประกอบการทนไม่ไหว หน่วยงานที่เก็บส่วยมากที่สุดคือ พื้นที่ โดยตัวเลขแล้วแต่พื้นที่ สำหรับพื้นที่ป่าตอง ประมาณ 8-22 ล้านบาทต่อเดือน เพราะมาจากหลายสาย เก็บง่ายสุดคือ สถานบันเทิง  ต้องยอมรับว่า ธุรกิจเหล่านี้ก็ทำไม่ถูกกฏหมาย จึงเป็นเหตุให้ต้องจ่าย ข้อมูลที่ได้จากผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ มีหลักฐานเกี่ยวกับการเรียกเก็บผลประโยชน์จำนวนมาก โดยเฉพาะจากกลุ่มธุรกิจหลัก 3-4 กลุ่ม กลายเป็นแหล่งเก็บส่วย ที่เก็บได้ง่ายที่สุดคือ กลุ่มแรงงานต่างด้าว รองลงมาคือ สถานประกอบการธุรกิจบันเทิง สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ โต๊ะบอล หวย

         “ทุกธุรกิจโดนหมด ที่กินง่ายสุดคือ แรงงานต่างด้าว เพราะภูเก็ตมีเยอะ มีหลายหน่วยที่เข้าไปเก็บ ไม่ต่ำกว่า 5 หน่วยที่โหด เช่น การใช้แรงงานต่างด้าว แคมป์คนงานก่อสร้างที่เคยจ่าย 1,000-1,500 ต่อคนต่อเดือน ตอนนี้เป็น 10,000 ต่อคนต่อเดือน ภูเก็ตใช้มากคือแรงงานเมียนมา ขายของละเมิดลิขสิทธิ์ เก็บเดือนละ 1.5 แสนบาทให้ 33 หน่วย” นายธรรมรัตน์ กล่าวย้ำ และเปิดเผยอีกว่า รูปแบบการหาผลประโยชน์ ยังมีนอกเหนือไปจากเก็บส่วย คือการถือหุ้นธุรกิจ โดยให้นักธุรกิจจีนลงเงินให้ หรือบางธุรกิจก็ถือหุ้นลม เช่น ลงทุนทำเรือสปีดโบท และหาเงินกับนักธุรกิจจีน ให้ตัดยอดนักท่องเที่ยวมาให้

         นายธรรมรัตน์ กล่าวด้วยว่า ตอนนี้ ไม่มีใครกล้าเก็บส่วยที่ป่าตอง ตำรวจถอยหลังให้ เพราะภาคประชาชนทำให้ถูกกฏหมายมากขึ้น ทั้งแรงงานต่างด้าวที่รัฐบาลผ่อนผันอยู่ ธุรกิจบันเทิงก็ไปเอาข้อเสนอที่เคยเสนอมาเกือบ 10 ปีมาพิจารณา โดยในวันที่ 22 พฤศจิกายน 60 ที่ผ่านมา ผู้ว่าฯ ให้ไปรื้อเรื่องโซนนิ่ง จะได้ไปออกใบอนุญาตให้ และตอนนี้มีการผ่อนผันเวลาให้ ตามที่ผู้ประกอบการขอไปตี 4 ซึ่งเรื่องนี้มีการทำวิจัย ทำประชาพิจารณ์เกือบ 20 ครั้ง เพราะที่ป่าตองบริบทเมืองมันเปลี่ยน การขอเพิ่มโซนนิ่ง ขยายเวลาปิดแล้วจะไม่มีส่วย ตอนนี้เขาทำแล้ว

         นายธรรมรัตน์ กล่าวต่อว่า แต่มามีปัญหาเมื่อปี 52 ปัญหาเริ่มจากการซื้อขายตำแหน่งนายตำรวจระดับผู้กำกับโรงพักแห่งหนึ่ง สูงถึง 40 ล้านบาท หลังจากรับตำแหน่ง เศรษฐกิจไม่ดี แต่ยังขอเก็บยอดเดิมอยู่อีก ทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อนมาก แต่นายตำรวจคนดังกล่าวไม่ยอมปันส่วนแบ่งให้หน่วยอื่นๆ ตามที่เคยเป็นมา เนื่องจากจ่ายไปเยอะต้องเก็บให้คุ้มทุน จึงมีปัญหาเกิดขึ้น ตำรวจสารพัดหน่วยเดินเก็บเองตามสถานบริการบันเทิง จนผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้ ปัจจุบันนายตำรวจคนดังกล่าวเลื่อนขึ้นเป็นรอง ผบก. ที่ผ่านมามีการจัดสัมปทานซื้อขายตำแหน่ง ผกก.พื้นที่ทองคำ 5 โรงพัก ผกก.ราคาประมาณ 8-12 ล้านบาท ผกก.ที่ย้ายเข้ามาใหม่แค่มานั่งเป็น ผกก. ประจำโรงพัก เรียกเก็บส่วยไม่ได้ เพราะรอง ผบก. คนดังกล่าวเป็นคนจัดการเก็บส่วยเองทั้งหมด

         นายธรรมรัตน์ กล่าวต่อว่า สถานบันเทิงเป็นธุรกิจของหวานสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะพนักงานในร้านส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เป็นต้นตอการเรียกรับสินบน ตำรวจที่เข้าไปเก็บส่วย โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวกินง่ายสุด มีหลายหน่วยของตำรวจที่ต้องจ่ายให้ ทั้งเรียกเก็บตามโพย และโอนเข้าบัญชี บางกรณีให้นอมินีเข้าไปถือหุ้นในบริษัท เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ แต่ขณะนี้ในพื้นที่ป่าตองปลอดส่วยแล้ว หลังมีการตรวจสอบ แต่ขอฝากไปถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ให้เข้าตรวจสอบในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลาด้วย มีการจ่ายส่วยกันหนักกว่าป่าตองอีก 2 เท่า ส่วนข้อมูลที่พูดนั้น ร้อยละ 60 เป็นข้อมูลที่ตำรวจให้มา ตำรวจดีก็มีอยู่เยอะ แต่การที่ออกมาพูดก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจฟ้องกลับแล้ว 16 คดีแล้ว

         ขณะที่ นางสมศรี หาญอนันทสุข ผู้ประสานงานกลุ่ม Police Watch กล่าวว่า ประชาชนทุกคนต้องลุกขึ้นสู้เพื่อความถูกต้อง แต่เมื่อประชาชนออกมาพูดในเรื่องที่ไม่ถูกต้องกลับถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐออกมาแจ้งความเอาผิดเพื่อปิดปากหรือฟ้องกลับ ทำให้หลายคนไม่กล้าที่จะออกมาพูดอย่างเช่นคุณธรรมรัตน์ ผู้ก่อตั้งเพจ สปอร์ตไลท์ ภูเก็ต หลายประเทศทั่วโลกกำลังพูดถึงเรื่องนี้น่าจะมีกฎหมายรองรับ โดยเฉพาะเรื่องส่วย ตำรวจอาการหนักมาก

         ด้าน พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการปฏิรูปตำรวจ สภาปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวว่า นายธรรมรัตน์ แอดมินเพจ สปอร์ตไลต์ ภูเก็ต ได้ออกมาต่อสู้เรียกร้องถึงความถูกต้องในพื้นที่ป่าตอง จ.ภูเก็ต อยากเสนอให้ทำเพจ “สปอร์ตไลต์ ไทยแลนด์” ทั่วประเทศทุกพื้นที่ เชียงใหม่ เชียงราย อุดร ขอนแก่น นครราชสีมา ให้ภาคประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้กับความถูกต้อง เพราะปัญหาส่วยสุดท้ายผลกระทบตกที่ประชาชน

สั่ง “บิ๊กป้อม” จัดการส่วย

จัดชุดพิเศษเข้าสืบหมด

         นายกรัฐมนตรี เผย “บิ๊กป้อม” สั่งรรท.จต. สอบส่วย 100 ล้าน ภูเก็ตแล้ว ว่าไม่ต้องห่วง ตร. สอบกัน เรื่องปกติ ปัดละเลยปราบโกง ชี้มีหลายคดีไม่เคยเกิด กังวลระดับล่าง เรียกรับผลประโยชน์ สั่งจัดชุดสายสืบพิเศษตรวจสอบ ย้ำทุกร้านไม่ต้องจ่ายเงินใคร กำชับในครม. รมต.และ คนใกล้ชิด ต้องไม่บิดเบือนเพื่อประโยชน์พวก ถ้าเจอลงโทษหมด

         เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 14.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่มีการเรียกรับส่วยกว่า 100 ล้านบาท ที่จังหวัดภูเก็ต ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้รักษาราชการแทนจเรตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่สอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้อง และย้ายตำรวจที่เกี่ยวข้องมาปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องตำรวจสอบตำรวจ เพราะถือว่าเป็นกลไกปกติ การตรวจสอบต้องไม่ทิ้งในทุกประเด็นออกไป ไม่ใช่ว่าจะตัดสินกันเองว่าผิดหรือถูก โดยทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามพยานหลักฐาน ทั้งทุจริต เก็บส่วย ความเชื่อมโยงระหว่างตำรวจกับฝ่ายปกครอง การขัดแย้งผลประโยชน์ การซื้อขายตำแหน่ง ฯลฯ ทั้งนี้ สามารถส่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาให้รัฐบาลและตำรวจได้ โดยทุกคนต้องช่วยกันดู ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคน

         พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกวันนี้ไม่ได้ปล่อยปละละเลยในปัญหาการทุจริต หลายคดีได้นำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ทั้งบุคคลทั่วไป นักการเมือง ซึ่งมีหลายคดีที่ไม่ได้เกิดมาก่อน แต่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้ สิ่งที่กังวลในวันนี้ คือ การเรียกรับผลประโยชน์ในระดับล่างของหลายๆ หน่วยงาน โดยอ้างชื่อคนโน้นคนนี้ อย่างไรก็ตาม ตนได้สั่งการให้จัดชุดสายสืบพิเศษลงไปตรวจสอบ ทั้งห้างร้านที่เคยถูกเรียกรับส่วยเดือนละ 3 พัน 5 พันบาท ศุลกากร ให้ตรวจสอบทั้งหมด และขอประกาศว่าห้างร้านต่างๆ ไม่ต้องจ่ายเงินใครทั้งสิ้น ถ้าจับได้ตนจะลงโทษคนทำเป็นสองเท่า

         “นอกจากนี้ ยังได้สั่งการในที่ประชุม ครม. โดยกำชับรัฐมนตรี ผู้ใกล้ชิดรัฐมนตรี ว่าเมื่อสั่งการแล้ว สายงานจะต้องไม่ไปบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองหรือพรรคพวก ถ้าเจอผมจะลงโทษทั้งหมด ผมเชื่อมั่นแต่ยังมีคนรอบๆ ตัวพวกเขาด้วย เพราะประเทศไทยมีระบบเครือญาติ หรือคนสนิท” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

         วันเดียวกัน(21 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.กล่าวถึง กรณีการร้องเรียนการเก็บส่วยที่ จ.ภูเก็ต ว่า เรื่องนี้หากมีพยานหลักฐานให้ว่าไปตามข้อเท็จจริง พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รักษาราชการแทนจเรตำรวจแห่งชาติ กำลังตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ ตามข้อเท็จจริง ส่วนกรณีมีการกล่าวหาส่วยที่ อ.สะเดา จ.สงขลาก็สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน จากนั้นตั้งกรรมการสืบสวนตามขั้นตอน ตนเคยบอกเองว่าหากใครมีพยานหลักฐานอะไรก็ให้ส่งมา

         กรณีส่วยที่ภูเก็ต จะดำเนินการในระดับสูงกว่า รองผู้บังคับการ ตามที่มีการกล่าวหาไปถึงระดับนายพลหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า หากเชื่อมโยงและมีการเรียกรับผลประโยชน์จริงๆ ต้องว่าไปตามพยานหลักฐาน หนีไม่พ้นอยู่แล้ว สั่งการ พล.ต.อ.สุชาติ ไปแล้วว่ามีพยานหลักฐานอะไรก็ว่าไปตามนั้น พล.ต.อ.สุชาติ มีอำนาจในฐานะจเรตำรวจแห่งชาติอยู่แล้ว เชื่อว่าท่านมีความเป็นธรรม ไม่ไปกลั่นแกล้งใคร เรื่องพวกนี้ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะมีการเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว

บันเทิงป่าตองรับมีส่วย

แก้ที่ปลายเหตุไม่มีหมด

         ผู้ประกอบการสถานบันเทิง ยันปัญหาส่วยภูเก็ต ให้ย้ายตำรวจทั้งจังหวัดก็ ไม่มีวันหมดเพราะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ จี้ขยายเวลาเปิดถึงตี 4 ปิดช่องว่างของกฎหมายที่เปิดช่องให้ ทั้งผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่รัฐสมยอมกัน

         เรื่องการเรียกเก็บส่วยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตนั้น สถานประกอบการอันดับหนึ่ง ที่จะต้องจ่ายส่วยให้กับหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐคือ สถานบันเทิง เพื่อแลกกับการเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายวีรวิชญ์ เครือสมบัติ ประธานชมรมผู้ประกอบการสถานบันเทิงหาดป่าตอง กล่าวว่า จริงๆ แล้วไม่อยากพูดเรื่องส่วยแล้ว เพราะมีการพูดกันมาเยอะ ปัญหานี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมายาวนาน

         สิ่งที่จะทำให้ปัญหาส่วยหมดไป คือเรื่องของการแก้กฎหมายขยายเวลาปิด และเรื่องของโซนนิ่ง โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่ป่าตองควรจะเปิดได้ถึงตี 4 ที่ผ่านมาทางผู้ประกอบการได้ออกมาเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล การบังคับใช้กฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทำให้เกิดช่องว่าง จนเป็นเหตุให้มีการเก็บส่วย จ่ายส่วยเกิดขึ้น โดยเป็นการสมยอมของทั้งคนจ่ายและคนเก็บ เพราะเป็นสิ่งที่วินวินทั้งคู่ คนจ่ายก็ต้องจ่ายเพื่อให้สามารถเปิดเกินเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนคนรับก็ต้องการหารายได้ และเสี่ยงกับการทำผิดกฎหมาย แต่การเรียกเก็บส่วยในจังหวัดภูเก็ตไม่ได้มีเฉพาะหน่วยงานในพื้นที่เท่านั้น ยังมีหน่วยงานจากที่อื่น หน่วยเฉพาะกิจต่างๆ ที่มีอำนาจ อาศัยช่องว่างของกฎหมายลงมาเก็บอีกจำนวนมาก

         นายวีรวิชญ์ ยังกล่าวอีกว่า การจะแก้ปัญหาเรื่องส่วยสถานบันเทิงแก้ไม่ยาก แต่ที่ทางภาครัฐทำอยู่ขณะนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ต่อให้มีการย้ายตำรวจออกไปจากพื้นที่ทั้งหมดแล้ว ย้ายคนอื่นเข้ามาก็มีปัญหาเหมือนเดิม เพราะอย่างที่บอก คนที่เก็บส่วยไม่ได้มีเฉพาะหน่วยงานในพื้นที่ แต่ยังมีหน่วยงานจากที่อื่นเข้ามาเรียกเก็บด้วย  การสั่งย้ายผู้กำกับป่าตอง และตำรวจคนอื่นๆ เป็นการแก้ปัญหาส่วยภูเก็ตที่ปลายเหตุ เสนอให้ตำรวจและฝ่ายที่เกี่ยวข้องแก้กฎหมายเรื่องเวลาเปิด-ปิดสถานบริการ และเพิ่มบทลงโทษคนเก็บส่วยให้มากขึ้น

         ดังนั้นการแก้กฎหมายจึงเป็นการแก้ที่ถูกจุด และเห็นผลอย่างที่สุด ถ้ามีการขยายเวลาออกไปก็จะทำให้ไม่มีช่องว่างที่จะให้ผู้ที่ถือกฎหมายมาเรียกเก็บส่วยได้ เพราะทุกคนสามารถเปิดได้ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งตรงกับการใช้ชีวิตของนักท่องเที่ยว ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะป่าตองเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ การปิดตี 1 ถือว่าเป็นการไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้ชีวิตของนักท่องเที่ยว เที่ยงคืนตี 1 นักท่องเที่ยวเพิ่งดินเนอร์เสร็จ จะออกมาเที่ยวสถานบันเทิงก็เป็นเวลาปิดแล้ว ซึ่งปัญหานี้นอกจากจะกระทบกับนักท่องเที่ยวแล้วยังกระทบกับผู้ประกอบการ และธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย และไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ทำให้สูญเสียรายได้ไปมหาศาล

         ด้าน นายชัยรัตน์ สุขบาล ผู้ประกอบการสถานบันเทิงในซอยบางลา กล่าวว่า หลังจากที่มีการออกมาแฉเรื่องการเก็บส่วยในพื้นที่ป่าตอง จนเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ไม่เห็นตำรวจวุ่นวายเหมือนเดิม สำหรับการแก้ปัญหาส่วยนั้น ต้องแก้ที่กฎหมาย บางครั้งกฎหมายล้าหลังเกินทำให้เกิดช่องว่างในการเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ เช่นเมืองท่องเที่ยวอย่างป่าตองสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลอย่างมหาศาล แต่สถานบันเทิงกลับให้เปิดแค่ตี 2  ผู้มีอำนาจต้องแก้กฎกระทรวง แก้กฎหมาย ให้เดินควบคู่กันไปได้

         “หรือร้านไหนเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด ก็ควรจะมีการเรียกเก็บภาษีให้มากยิ่งขึ้น ผลประโยชน์ก็จะตกอยู่ที่รัฐบาล รัฐบาลก็ได้เอาเงินภาษีส่วนนี้ไปบริหารประเทศได้มากขึ้น และผู้ประกอบการสถานบันเทิงร้านไหนปล่อยให้มีเด็กเข้าไปใช้บริการ ปล่อยให้มีการนำอาวุธปืนเข้าไป มีการทะเลาะวิวาทก็ให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้บังคับกฎหมายอย่างเคร่งครัดหรือปิดบริการได้เลย ถ้าทำได้แบบนี้ปัญหาการเรียกเก็บส่วยก็คงไม่มี”

         ส่วนกรณีที่แต่งตั้งให้ พ.ต.อ.มล.พัฒนจักร จักรพันธ์ มารักษาการผู้กำกับ สภ.ป่าตอง ในช่วงนี้ นายชัยรัตน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดคิดของใครหลายๆ คน เพราะภาพลักษณ์ของ ผกก.ท่านนี้ เป็นภาพลักษณ์ที่อ่อนโยน เข้ากับประชาชนได้ทุกระดับ ซึ่งทางตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตคงจะมาเอาขัดตาทัพไปก่อนเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ และเชื่อว่าขณะนี้คงไม่มีนายตำรวจท่านใดอยากลงไปปฏิบัติหน้าที่ที่ป่าตอง เพราะเป็นพื้นที่ที่กำลังมีปัญหา

ย้ายยกกระบิ 10  นาย

ตม.ติดร่างแหไปด้วย

         ผลสอบส่วยภูเก็ต พบมีมูลเพียบ จเรตำรวจเซ็นคำสั่ง ย้ายกราวรูด ผู้กำกับป่าตอง – สารวัตรตรวจคนเข้าเมือง พร้อมนายตำรวจที่สาวถึง คาดมีส่วนพัวพันรวม 10 ราย ออกพ้นพื้นที่ขาดจากตำแหน่งเดิม พร้อมตั้งกรรมการสอบ ทั้งเช็กเส้นทางรับเงิน และตรวจสอบจากวงจรปิดชัดเจน แถลงสัปดาห์หน้า

         เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2560 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รักษาราชการแทนจเรตำรวจแห่งชาติ (รรท.จตช.) มีคำสั่ง ศปก.ตร.ที่ 41/2560 ลงวันที่ 17 พ.ย.2560 อ้างตามคำสั่ง ตร.499/2560 ลงวันที่ 29 ก.ย.2560 และคำสั่ง ตร.623/2560 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2560 ให้

         1. พ.ต.อ.ทัศนัย โอฬาริกเดช ผกก.ป่าตอง ภ.จว.ภูเก็ต บช.ภ.8

         2. ร.ต.อ.หญิง ศรีสุดา เมืองแก้ว รอง สว.กก.5 บก.ปคม.บช.ก.

         3. ด.ต.จักรฐิพนธ์ นาคพงศ์ภัค ผบ.หมู่ กก.5 บก.ปคม.บช.ก.

         4. ด.ต.วรฉัตร ทัพพุน ผบ.หมู่ กก.งานจราจร สภ.ป่าตอง ภ.จว.ภูเก็ต บช.ภ.8

         ให้ทั้งหมดไปปฏิบัติราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.)โดยให้ขาดจากตำแหน่งเดิม ตั้งแต่ วันเสาร์ที่ 18 พ.ย.2560 จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

         ทั้งนี้ ยังมีรายงานข่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รรท.จตช. ได้มีหนังสือคำสั่งศูนย์ปฏิบัติสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ที่ 79/2560 ลงวันที่ 13 พ.ย.เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการศูนย์ปฏิบัติการตร.ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 6 นาย ประกอบด้วย

         1. พ.ต.ท.สุระศักดิ์ ใจดี สว.ตม.6 จว.ภูเก็ต

         2. พ.ต.ท.เทียนชัย ชมภู สว.ตม.6 จว.ภูเก็ต

         3. ร.ต.อ.นิมิต สุขประเสริฐ รองสว. กก.สส.1 บก.สส.ภ.8

         4. ร.ต.อ.อดุลย์ บุญราช รองสว.ปป สภ.ป่าตอง

         5. ด.ต.พรประสิทธิ์ แว่นทอง ผบ.หมู่ งานสืบสวน สภ.ป่าตอง

         6. ด.ต.พงษ์เพชร จันทรัตน์ ผบ.หมู่ ฝ่ายอำนวยการ ตม.6 ช่วยราชการที่ ศปก.ตร.โดยให้ขาดจากต้นสังกัดเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย

         พล.ต.อ.สุชาติ เปิดเผยว่า หลังจากเข้าไปตรวจสอบ ตรมที่มีการร้องเรียน เรื่องส่วย 100 ล้านบาท ที่ จ.ภูเก็ต ตนในฐานะ รรท.จเรตำรวจแห่งชาติ ก็ได้ตรวจสอบสืบสวน จนพบว่าข้อเท็จจริงมีมูล จึงตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงผู้ที่เกี่ยวพันแล้ว พบข้อมูลหลักฐานคำให้การของผู้ประกอบการ ภาพวงจรปิด การโอนเงินที่โยงใยไปถึงตำรวจที่ถูกกล่าวหา หลักฐานมากพอที่จะดำเนินคดีอาญาได้  จึงออกคำสั่งตามอำนาจหน้าที่ สตช.และผอ.ศปก.ตร. ให้ตำรวจที่เกี่ยวพัน 10 นาย พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ และออกจากพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาสให้การสืบสวนสอบสวนตามกระบวนการทั้งทางอาญา และวินัย ทำได้สะดวก

         ทั้งก่อนหน้านี้ทาง บช.ภ.8 ก็ออกคำสั่งให้ พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต อดีตผกก.สภ.ป่าตอง พ.ต.ท.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง รอง ผกก.สส.สภ.ป่าตอง ไปช่วยราชการที่ ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 8 แล้ว เพื่อให้การสืบสวนดำเนินการได้ อย่างไรก็ตามในต้นสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้ ตนจะชี้แจ้งและแจกแจงเอง

ผู้การฯ สั่งผู้กับกะทู้เสียบ

จูงขึ้นชั้น 3 ปลอบขวัญ

         ผู้การฯ ตี๋ สะบัดปากกาเซ็นตั้ง ผกก.กะทู้ เข้า รรท. ผกก.ป่าตอง หลังผกก.เก่าถูกพิษส่วย เด้งเข้ากรุ และตั้ง ผกก.สอบสวน ตร.ภูธรภูเก็ต ลงไปปฏิบัติหน้าที่ ผกก.กะทู้แทนทันควัน พร้อมจูงผู้กำกับใหม่เข้าโรงพักพาขึ้น “เล่าเต้ง” ชั้น 3 เป่ากระหม่อมปลอบขวัญตร.ทั้งสถานี

         ที่ภูเก็ต เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ได้มีคำสั่ง ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ที่ 282/2560 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน ระบุว่า ตามคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 81/2560 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 สั่งการให้ พ.ต.อ.ทัศนัย โอฬาริกเดช ผกก.ภ.ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากต้นสังกัด ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงนั้น

         เพื่อให้การบริหารราชการของตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตในภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพสูงสุด และไม่เกิดความเสียหายต่อราชการ ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ ตำรวจแห่งชาติ พ. ศ. 2547 มาตรา 72 (4) และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 7/2559 เรื่อง การกำหนดตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวน ข้อ 7 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุมัติให้เดินทางไปราชการ และการจัดการประชุมของทางราชการ พ.ศ.2524 จึงให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทนในตำแหน่งต่างๆ ดังนี้ 1. พ.ต.อ.มล.พัฒนจักร จักรพันธ์ ผกก.สภ.กะทู้ จังหวัดภูเก็ต ไปรักษาราชการแทนในตำแหน่ง ผกก.สภ.ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต และ 2. พ.ต.อ. เชาวลิต เนียมวดี ผกก.สส. กลุ่มงานสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ไปรักษาราชการแทนในตำแหน่ง ผกก.สภ.กะทู้ จังหวัดภูเก็ต พร้อมทั้งมอบหมายให้ พ.ต.อ.วิฑูรย์ กองสุดใจ รองผบก.ภจว.ภูเก็ต มีหน้าที่กำกับ ดูแลการปฏิบัติของสถานีตำรวจภูธรป่าตอง จังหวัดภูเก็ตอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

         อย่างไรก็ตามภายหลังจากมีคำสั่ง ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตดังกล่าวแล้ว ที่ห้องประชุมชั้น 3 สภ.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.มล.พัฒนจักร จักรพันธุ์ รรท.ผกก.สภ.ป่าตอง ได้มีการประชุมเพื่อมอบนโยบายการทำงานและให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าตอง เพื่อให้การทำงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

“บิ๊กใหม่”ฉะหน้า ผกก.ป่าตอง

ท้าฟ้องศาลปกครองถ้าไม่มีมูล

         “บิ๊กใหม่” รรท.จตช.สอบแล้ว พบมีมูลกองโต เกี่ยวข้องอีกหลายราย กระแทกหน้าอดีตผู้กำกับป่าตอง อย่าอ้างท้องที่เสียขวัญ เตรียมหาหลักฐานมาล้างข้อมูลที่อยู่ในมือจเรตำรวจให้ได้แล้วกัน พร้อมท้าถ้าใครเห็น ไม่เป็นธรรม ให้ฟ้องศาลปกครองได้

         กรณีการแฉเรื่องส่วย 100 ล้านบาท ที่ จ.ภูเก็ต โดย บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.สั่งการ “บิ๊กใหม่” พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รรท.จตช.ลงพื้นที่สืบสวนจนพบว่าข้อเท็จจริงมีมูล มีการตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงผู้ที่เกี่ยวพันพร้อมลงนามคำสั่งเด้ง 10 ตำรวจช่วยราชการ ศปก.ตร. มีทั้งตำรวจท้องที่ ตม.และ บช.ก. โดย 1 ในนั้นคือ พ.ต.อ.ทัศนัย โอฬาริกเดช ผกก.สภ.ป่าตอง ยันมีหลักฐานทุกขั้นตอน เตรียมแถลงข้อเท็จจริง พร้อมท้าใครเห็นว่าคำสั่งไม่เป็นธรรมฟ้องศาลปกครองได้ทันที ขณะที่ พ.ต.อ.ทัศนัย น้อมรับคำสั่งผู้บังคับบัญชาและยังไม่ทราบสาเหตุใด แต่ไม่ใช่เรื่องส่วยแน่นอน พร้อมระบุว่าขณะนี้ตำรวจ สภ.ป่าตอง ต่างเสียขวัญไม่กล้าที่จะทำงาน นั้น

         ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 19 พ.ย. พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รรท.จตช.กล่าวว่า กรณีมีการออกคำสั่งให้ตำรวจมาช่วยราชการอีกหรือไม่ เป็นอำนาจหน้าที่ของ พล.ต.ท.อดิศร์ งามจิตสุขศรี จตร.กองตรวจราชการ 8 ในฐานะประธานสอบสวนข้อเท็จจริง ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะมีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องอีกหลายราย แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน และที่มีกระแสการออกมาอ้างของ ผกก.สภ.ป่าตอง ว่า การดำเนินการของจเรตำรวจทำให้ตำรวจในพื้นที่เสียกำลังใจ อยากให้ลงไปสอบถามกับตำรวจในพื้นที่ ว่าตำรวจเขารู้สึกอย่างไร มีใครเสียขวัญเสียกำลังใจบ้าง ใครจะออกมาอ้างอะไรก็ได้ แต่เมื่อถึงขั้นตอนการสอบสวนก็หาพยานหลักฐานมาลบล้างหลักฐานที่จเรตำรวจมีอยู่ให้ได้แล้วกัน

         รรท.จตช. กล่าวต่อว่า การดำเนินการทุกอย่างของชุดสืบสวนจเรตำรวจ ว่ากันที่พยานหลักฐาน เมื่อมีผู้เข้ามาร้องเรียนจะต้องตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร มีมูลหรือไม่ แต่เมื่อตรวจพบว่ามีการกระทำผิดจริงตามที่มีผู้ร้องเรียนเข้ามา กลับมาหาเรื่อง จะเอาผิดกับจเรตำรวจ ผิดกับการกระทำของบางคน มีผู้เสียหายเข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือกลับแจ้งข้อหาดำเนินคดีผู้เสียหาย ไม่ได้ตรวจข้อเท็จจริง อยากถามกลับว่า การดำเนินการ กระทำเช่นนั้นถูกต้องหรือไม่ หากเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของจเรตำรวจไม่ถูกต้อง ให้เปลี่ยนเอาใครมาทำแทนก็ได้ หรือถ้าว่าเป็นความผิดตั้งคณะกรรมการสอบสวน อย่ามาปล่อยข่าวให้ร้ายกัน ส่วนประเด็นที่ย้อนถามว่า ตนมีหน้าที่ออกคำสั่ง มีหน้าที่ดำเนินการกับเรื่องนี้หรือไม่ เป็นคำถามของผู้ที่ถูกตนออกคำสั่งให้ช่วยราชการทั้งนั้น ย้ำอีกครั้งหากใครไม่ได้รับความเป็นธรรมกับเรื่องนี้ไปร้องต่อศาลปกครองได้ ส่วนกรณีที่จะให้นัดแถลงชี้แจง เห็นว่าทาง พล.ต.ต.ธีรพล ทิพย์เจริญ ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต ชี้แจงไปหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องชี้แจงซ้ำ

“บิ๊กตู่” เดือดถูกอ้างยกพวง

ปกาศิตทุจริตปราบให้สิ้นซาก

         นายกฯ ตู่ เดือด โดนแอบอ้างทำให้เสียกันหมด ประกาศเดินหน้าปราบขรก.ทุจริตให้สิ้นซาก ส่งสายลับลงพื้นที่ ลั่นใครเอี่ยวโดนหมด แนะร้านค้าติดป้ายไม่จ่ายส่วย ด้าน”ศรีวราห์” ขีดเส้นรายงานผลสอบส่วยภูเก็ตภายใน 30วัน เผยนายกฯ เรียกเข้าพบสอบถามความคืบหน้า

         จะอย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาคามสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวระหว่างมอบโอวาทที่วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ จ.ชลบุรี โดยตอนหนึ่งได้ระบุถึงปัญหาเรื่องส่วยที่กำลังเป็นประเด็นร้อน ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ว่า ข้าราชการทุกคนตนเตือนแล้วนะ ต่อไปนี้จะกวดทุกอัน อย่างที่บอกไปแล้ว ใครที่มาบอกว่าคนใกล้ชิดตนหรืออะไร ตนสั่งทุกคนแล้ว ต่อไปนี้ต้องตรวจทุกคน เกี่ยวข้องกับใครเอาหมด

         พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปัญหาที่เจอตอนนี้มันอยู่ข้างล่างเยอะ ฉะนั้นเราต้องช่วยกันแก้ เช่น หากร้านค้าไหนถูกรีดไถ่ ติดป้ายไว้เลยไม่จ่ายเงิน แล้วใครมันยังเรียกอีกให้มากบอก ตนจะจัดการให้ รวมถึงการใช้กฎหมายมาตรวจหลายขั้นตอน มาเล่นงานเป็นเสต็ปแบบนี้ไม่ได้ การทำงานต้องเป็นแบบบูรณาการ ไม่ใช่ไปเรียกเขาอีก เสร็จแล้วอ้างว่ารัฐบาลหรือทหารมีส่วน อย่างนี้มันก็เสียหมด รองนายกฯก็เสีย ผมก็เสีย ทุกคนถูกลากไปเกี่ยวข้องหมด

         “ผมต้องขจัดข้าราชการหรือคนพวกนี้ให้ได้ ทุกคนต้องช่วยกัน ผมไม่โยนความรับผิดชอบให้ใคร รัฐบาลจะกวดขัน รับเรื่องทั้งหมด แล้วจะลงไปดู โดยผมจะส่งคนไปตรวจสอบทางลับทุกพื้นที่ ดูซิว่าใครยังจะโกงอยู่อีก” นายกฯ กล่าว

         ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีการร้องเรียนเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ จ.ภูเก็ต เรียกรับส่วย และมีการสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจไปนับสิบนายแล้ว ว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีมีการร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกรับผลประโยชน์กว่า 100 ล้านบาท เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง และทาง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ให้ทางจเรตำรวจแห่งชาติสอบสวนเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์แล้ว ซึ่งต้องรายงานผลการสอบสวนอีก 30 วันก่อนจึงจะทราบความคืบหน้า

         ส่วนกรณีตำรวจจับชาวต่างชาติทำผิดกฎหมาย แล้วปล่อยตัว โดยไม่ส่งให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองนั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอรายงานผลการตรวจสอบจากคณะกรรมการที่สั่งตั้งขึ้นมาของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เบื้องต้นมี 2 ประเด็น คือ กลุ่มที่อยู่เกินกำหนด หรือโอเวอร์ สเตย์ หรือจับแล้วปล่อยตัว ซึ่งในประเด็นหลังมีกว่า 1,700 คน ถือว่าผิดปกติที่ตำรวจจับชาวต่างชาติแล้วปล่อยไป แต่ไม่ยืนยันว่ามีการจ่ายผลประโยชน์ หรือส่วย ให้เจ้าหน้าที่เพื่อแลกกับอิสรภาพ ส่วนการตรวจสอบเรื่องส่วยเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รรท.จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.)

         ขณะที่ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รรท.จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบส่วย 100 ล้านบาท ใน จ.ภูเก็ต ว่า ยังไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม อยู่ในกระบวนการตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ข้าราชการตำรวจที่สั่งการให้ช่วยราชการฯก่อนหน้านี้ และยังไม่มีการสั่งช่วยราชการตำรวจนายใดเพิ่มเติม

         ส่วนกรณีมีการเปิดโปงว่ามีการจ่ายส่วยในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา นั้น รรท.จตช.กล่าวว่า กรณีนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร.ยังไม่สั่งการให้ตรวจสอบ ตนรอหนังสือสั่งการหรือหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการ จากนั้นจะเดินหน้าตรวจสอบทันที

          มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้เรียก พล.ต.อ.จักรทิพย์ และ พล.ต.อ.สุชาติ เข้าพบเพื่อสอบถามความคืบหน้าคดีเรียกรับส่วยที่ จ.ภูเก็ต เนื่องจากเป็นนโยบายสำคัญ

          ผู้ประกอบการสถานบันเทิงป่าตอง ยื่นหนังสือ ขอขยายเวลาเปิดถึงตี 4 มั่นใจแก้ปัญหาเก็บส่วยได้ 70 % พร้อมติดตามความคืบหน้าขยายเขตโซนนิ่งในพื้นที่ป่าต้องหลังรับความคิดเห็นคนในพื้นที่เสร็จแล้ว เผยสถานบันเทิงป่าตองทำรายได้คืนละกว่า 25 ล้านบาท

          เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ ( 27 พ.ย.) นายวีรวิชญ์ เครือสมบัติ ประธานชมรมผู้ประกอบการสถานบันเทิงป่าตอง พร้อมรองประธาน เดินทางเข้ายื่นหนังสือกับ นายสมปราชญ์ ปราบสงคราม นายอำเภอกะทู้ จ.ภูเก็ต เพื่อส่งต่อไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้พิจารณาผ่อนผันขยายเวลาเปิด- ปิดสถานบันเทิงในพื้นที่ป่าตอง ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว และคนใช้บริการสถานบันเทิงในพื้นที่ป่าตองส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

         พร้อมตั้งเดินทางมาติดตามความคืบหน้าการขอขยายเขตโซนนิ่งสถานบันเทิงในพื้นที่ป่าตอง ที่ต้องกลับมาทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นของคนในพื้นที่หลังมีการแจ้งว่าการเสนอเขตโซนนิ่งที่ผ่านมามีการร้องเรียน ทำให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถพิจารณาเรื่องของการขยายเขตโซนนิ่งสถานบันเทิงทั่วประเทศได้

         นายวีรวิชญ์ กล่าวว่า ปัจจุบันป่าตองเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีบริบทความเป็นเมืองท่องเที่ยวที่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจาณาแก้ไขเรื่องเวลาเปิดปิดสถานบันเทิงให้เหมาะสมสำหรับการเป็นเมืองท่องเที่ยว และเกิดประโยชน์ในภาพรวม และเกิดประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ ทำรายได้เข้าประเทศเพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง เป็นการแก้ปัญหาค่านิยมผิดๆในเรื่องของการเรียกรับผลประโยชน์ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้

         “คิดว่าถึงเวลาที่ควรจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ให้เห็นเป็นรูปธรรม เพราะจะส่งผลดีโดยรวม ซึ่งการขยายเวลาเปิดปิดสถานบันเทิงจากเวลา 01.00 น. ไปจนถึง 04.00 น. ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาการเรียกเก็บส่วยได้ไม่น้อยกว่า 70 % ส่วนที่เหลืออีก 30 % ก็จะเป็นเรื่องของการทำผิดอย่างอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เรื่องแรงงานต่างด้าว เป็นต้น แต่ถ้าในส่วนของการเปิดปิดสถานบันเทิงเมื่อมีการขยายเวลาปัญหาการจ่ายส่วย เรียกรับส่วยก็จะหมดไป” นายวีรวิชญ์ กล่าวและว่า

         จึงอยากเรียกร้องให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเรื่องนี้ด้วย ถ้าทำได้ก็จะทำให้การแก้ไขปัญหาทำได้ตรงจุด ที่ผ่านมาตนพูดไปแล้วหลายครั้งว่า การแก้ไขปัญหาเรื่องส่วยสถานบันเทิง การย้ายตำรวจออกจากพื้นที่ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา เพราะเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะกลับมาเรียกเก็บเหมือนเดิม แม้ว่าช่วงนี้การเรียกเก็บส่วยจะเงียบลงก็ตาม แต่ถ้าเมื่อไหร่เรื่องการร้องเรียนเงียบไป การจ่ายส่วย เก็บส่วยก็กลับมา เพราะฉะนั้นจึงอยากเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายเรื่องของการเปิดปิดสถานบันเทิง โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าตองขอให้เปิดได้ถึงเวลา 04.300 น. ซึ่งจะเป็นการสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวด้วย

         ส่วนเรื่องของโซนนิ่งสถานบันเทิง นายวีรวิชญ์ กล่าวว่า ได้มีการปรับปรุงและขยายโซนนิ่งสถานบันเทิงทั้งจังหวัด โดยในส่วนของพื้นที่ป่าตองได้มีการขอขยายโซนนิ่งสถานบันเทิง จากเดิมที่มีเฉพาะที่ซอยบางลา ขยายเพิ่มเติมในพื้นที่โซนที่ 7 ของป่าตอง คือ ได้มีการกำหนดโซนนิ่งสำหรับสถานบันเทิงเพิ่มเติมจากซอยบางลา ที่ซอยแสนสบายไปถึงแยกบ้านซ่าน ระยะทางประมาณ 160 เมตร ซอยตัน และซอยโอท็อป ซึ่งในซอยทั้งหมดที่ขอขยายโซนนิ่งสถานบันเทิงนั้น เป็นพื้นที่ที่มีสถานบันเทิงเปิดให้บริการอยู่แล้วทั้งหมด

         ประธานชมรมผู้ประกอบการสถานบันเทิงหาดป่าตอง ระบุ ถึงธุรกิจสถานบันเทิงในป่าตองว่า มีไม่ต่ำกว่า 400 แห่ง ทั้งที่อยู่ในโซนนิ่งและนอกโซนนิ่ง แต่ที่จดทะเบียนเป็นสถานบันเทิงกับทางอำเภอกะทู้มีประมาณ 190 กว่าแห่ง ซึ่งแต่ละวันสามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 25 ล้านบาท และในขณะนี้ซึ่งเป็นช่วงไฮซีชั่นนักท่องเที่ยวเข้ามาป่าตองเป็นจำนวนมาก เป็นเวลาที่สถานบันเทิงทำรายได้ หากให้ปิดในเวลาที่กฎหมายกำหนดคือตีหนึ่งจะสร้างความเสียหายทางธุรกิจอย่างมหาศาล

         ด้าน นายสมปราชญ์ ปราบสงคราม นายอำเภอกะทู้ กล่าวว่า หลังจากรับหนังสือแล้ว ทางอำเภอจะส่งต่อหนังสือไปยังจังหวัดเพื่อส่งต่อไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกรัฐมนตรี รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งทางผู้ใหญ่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของเมืองป่าตอง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกและสามารถทำรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างมหาศาลในแต่ละปี

         ในส่วนของการขยายโซนนิ่งสถานบันเทิง เป็นนโยบายของกระทรวงมหาดไทยที่ให้ดำเนินการพร้อมกันทั้งประเทศ ขณะนี้ได้ดำเนินการไปหมดแล้ว เหลือแค่ 9 จังหวัดที่ยังไม่สามารถกำหนดโซนนิ่งสถานบันเทิงใหม่ได้ รวมถึงภูเก็ต ในพื้นที่ป่าตอง เนื่องจากมีประชาชนชาวป่าตองได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังเทศบาลเมืองป่าตองคัดค้านการกำหนดพื้นที่โซนนิ่งใหม่บ้างส่วนโดยอ้างว่าการับฟังความคิดเห็นผู้ส่วนได้ส่วนเสียไม่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึง ทางเทศบาลเมืองป่าตอง จึงได้เรียนไปยังผู้ว่าฯ ทางผู้ว่าฯจึงได้ขอชะลอไปยังกระทรวงมหาดไทย 45 วัน พร้อมทั้งได้สั่งให้มีการรับฟังความคิดเห็นใหม่อีกครั้ง ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา และได้กำหนดโซนนิ่งใหม่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทางจังหวัดจะได้นำเสนอไปยังกระทรวงมหาดไทยต่อไป