“ฮิลตัน” ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องในประเทศไทย​ วางแผนเปิดบริการเพิ่ม 2,000 ห้อง ภายใน 24 เดือน

“ฮิลตัน” ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องในประเทศไทย​ วางแผนเปิดบริการเพิ่ม 2,000 ห้อง ภายใน 24 เดือน

        ฮิลตัน ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องในประเทศไทย​ โดยวางแผนเปิดบริการเพิ่ม 2,000 ห้องภายใน 24 เดือน​ เพื่อตอบรับการขยายตัวของการเข้าพักในประเทศ และการฟื้นฟูของภาคการท่องเที่ยว

          เ​มื่อวัน​ที่ 23 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา​ ฮิลตัน ผู้นำในอุตสาหกรรมบริการระดับโลก ตั้งเป้าเปิดบริการเพิ่มเติมในประเทศไทยกว่า 2,000 ห้อง ภายในระยะเวลา 24 เดือน ภายใต้แบรนด์ฮิลตัน โฮเทลส์ แอนด์รีสอร์ท, ดับเบิลทรี บาย ฮิลตัน, และฮิลตัน การ์เด้น อินน์​ จากปีที่ท้าทายที่สุดปีหนึ่งของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผลประกอบการปี 2563 ของฮิลตันแสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดี โดยการเซ็นสัญญาใหม่ของโรงแรมในเครือฮิลตันทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

          สืบเนื่องจากผลกระทบของการระบาดของไวรัสที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย จากการคาดการณ์ล่าสุดประเมินว่า การท่องเที่ยวจะกลับสู่ระดับก่อนหน้านี้ในอีกสามปีข้างหน้า รวมถึงการเข้าถึงดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในทุกอุตสาหกรรม อันเป็นผลมาจากการจำกัดการเดินทาง และความต้องการใช้บริการโดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัส ด้วยการรีแบรนด์โรงแรมกับฮิลตัน จะทำให้พันธมิตรธุรกิจเหล่านั้นได้รับประโยชน์จากเครื่องมือทางการตลาด ตลอดจนเทคโนโลยีชั้นนำของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

         ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฮิลตันได้ลงนามในความร่วมมือที่สำคัญหลายแห่งในประเทศไทย เพื่อปูทางไปสู่การเปิดตัวแบรนด์ฮิลตัน การ์เด้น อินน์ ภูเก็ต โดยมีกำหนดให้บริการภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ รวมทั้งการเปิดตัวของแบรนด์ไลฟ์สไตล์อย่างโรงแรมคาโนปี บาย ฮิลตัน ภายในปี 2566 ซึ่ง​ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีพอร์ตโฟลิโอที่ใหญ่ที่สุดของฮิลตันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีโรงแรม 11 แห่ง ภายใต้ 4 แบรนด์ และรวมถึงอีก 8 โครงการที่กำลังพัฒนา โดยการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในประเทศไทยถึง 2 แบรนด์แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทยสำหรับการเติบโตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

         มร.กาย ฟิลลิปส์ รองประธานอาวุโสด้านการพัฒนา ภูมิภาคเอเชีย และออสตราเลเชีย ฮิลตัน กล่าว “จากรายงานฉบับล่าสุดของ Smith Travel Research บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดชั้นนำ ซึ่งจัดให้ 5 แบรนด์ของเราติดหนึ่งใน 15 อันดับแรกของโลก ได้ช่วยส่งเสริมให้เรามั่นใจถึงการยอมรับอย่างกว้างขวางของแบรนด์ฮิลตันภายในอุตสาหกรรมนี้ ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ท้าทายที่สุดที่อุตสาหกรรมเคยเผชิญมาแสดงให้เห็นแล้วว่าความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอ และเครื่องมือทางการตลาดของเราได้ช่วยรักษา รวมถึงช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทเจ้าของของเราอีกด้วย ความไว้วางใจที่เราได้รับจากพันธมิตรธุรกิจของเรา ทำให้เรามั่นใจได้ว่าการมุ่งเน้นไปที่โอกาสในการรีแบรนด์จะสามารถช่วยเจ้าของโรงแรมอิสระในประเทศไทยในการเพิ่มศักยภาพของทรัพย์สินเหล่านั้นได้”

        ทางด้าน มร.กาย ฟิลลิปส์​ กล่าวต่ออีกว่า เท่าที่เรายังคงได้เห็นผลกระทบของการระบาดทั่วโลกที่มีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั่วทุกภาคส่วนต่างมองในแง่ดีถึงการฟื้นตัวในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเราเชื่อว่าการเดินทางภายในประเทศจะเป็นส่วนสำคัญอันดับแรก ตามมาด้วยการเดินทางระหว่างประเทศที่จะมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดเมื่อมีการเปิดพรมแดนให้เดินทางได้อีกครั้งอย่างปลอดภัย และระมัดระวังเป็นพิเศษ ความมุ่งมั่นของเราที่มีต่อประเทศไทยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยทุกโรงแรมของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของแขก และสมาชิกในทีมของเรา ด้วยการสร้างความมั่นใจว่าเราจะให้การต้อนรับในระดับสูงสุดแก่แขกผู้เข้าพัก แม้ในขณะที่ความต้องการของนักเดินทางจะเพิ่มขึ้น เรายังเชื่อว่าพวกเขาจะจดจำแบรนด์ของเราในด้านการบริการที่เป็นที่ยอมรับ ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจากการใช้บริการ และมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดซึ่งทำให้เราเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก” มร.พอล ฮัทตัน รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

         ฮิลตันมีโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้วใน 5 สถานที่ของประเทศไทย คือ กรุงเทพฯ, ภูเก็ต, เกาะสมุย, หัวหิน, และพัทยา โดยได้ส่งมอบการบริการตามแบบฉบับของฮิลตันภายใต้แบรนด์ วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย โฮเทลแอนด์รีสอร์ท, คอนราด โฮเทลแอนด์รีสอร์ท, ฮิลตัน โฮเทลแอนด์รีสอร์ท, ดับเบิลทรี บาย ฮิลตัน โฮเทลแอนด์รีสอร์ท, และฮิลตัน การ์เด้น อินน์