ภูเก็ต… ประกอบธุรกิจแบบเชิงเดียว ส่งผลกระทบต่อรายได้ประชาชน “ลดลงแบบเฉียบพลัน”

ภูเก็ต… ประกอบธุรกิจแบบเชิงเดียว
ส่งผลกระทบต่อรายได้ประชาชน
“ลดลงแบบเฉียบพลัน”

       ผลกระทบของ covid-19 ของจังหวัดภูเก็ต พบว่าในปัจจุบันประชาชนมีรายได้ลดลงจากเดิม ประชาชนมีรายได้เฉลี่ย 33,000 บาท ต่อเดือนต่อคน ขณะนี้จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่าประชาชนมีรายได้ลดลง เหลือเพียง 1,900 บาท ต่อคนต่อเดือน เป็นการลดลงแบบเฉียบพลัน

           วันที่ 19 มี.ค.64 เวลา 10.00 น. ณ โรงแรมเพิร์ล อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยมีการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “การขับเคลื่อนศักยภาพแรงงาน ของสถานประกอบกิจการในจังหวัดภูเก็ต ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ” โดย นายพิเชษฐ์ ปาณะพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากผลกระทบของ covid-19 ของจังหวัดภูเก็ตพบว่าในปัจจุบันประชาชนมีรายได้ลดลง จากเดิมประชาชนมีรายได้เฉลี่ย 33,000 บาท ต่อเดือนต่อคน ขณะนี้จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์พบว่าประชาชนมีรายได้ลดลง เหลือเพียง 1,900 บาท ต่อคนต่อเดือน ซึ่งเป็นการลดลงแบบเฉียบพลัน

          เนื่องจาก​ จังหวัดภูเก็ตมีการประกอบธุรกิจแบบเชิงเดียว คือ เรื่องของการท่องเที่ยว ส่วนแนวทางในการพัฒนาให้จังหวัดภูเก็ตมีรายได้เพิ่มมากขึ้นเกิดการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ ด้านกีฬา การจัดเทศกาลอาหารทะเล โดยผู้ประกอบการสามารถ​มาร่วมออกบูธและกิจกรรมได้​ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เราได้เน้นทางด้านของกินเป็นหลักถึงแม้ว่ารายได้ในปัจจุบั​นจะไม่เท่าเดิมแต่ยังสามารถช่วยยกระดับรายได้ที่จะเข้ามาได้ คือ การให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามา

            ทั้งนี้​ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติถือเป็นเป้าหมาย ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยเราก็ได้มีความพยายามทำอยู่แล้วแต่ก็ยังมาในระดับที่ไม่สามารถกระตุ้นให้สถานประกอบการในจังหวัดภูเก็ตนั้น​พอจะลืมตาอ้าปากได้ จึงจำเป็นต้องพึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งได้ข้อสรุป คือ การจูงใจให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาโดยไม่ต้องกักตัว

         ส่วน การดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้เดินทางเข้ามาโดยไม่ต้องกักตัวซึ่งเป็นวิธีการจูงใจนักท่องเที่ยวที่ดีที่สุด​ ที่จะให้เข้ามาแต่อยู่ภายใต้เงื่อนไข ท่านรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณะสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบ กำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.64 เป็นต้นไป เปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ภายใต้เงื่อนไข คือ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้วสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ แต่ก่อนเดินทาง 2 ชม. จะต้องมีการตรวจหาเชื้อและจะต้องถือพาสปอร์ตที่เป็นวัคชีนพาสปอร์ตเข้ามาด้วย และเมื่อมาถึงภูเก็ตจะต้องเข้าสู่สถานที่กักตัวเพียงแค่ 7 วัน ซึ่งไม่ใช่การกักตัวแบบ 14 วันแล้ว

        นอกจากนี้​ นายพิเชษฐ์ ยังได้กล่าวถึง​ เรื่องของการปรับสถานที่กักตัวที่เคยรองรับนักท่องเที่ยวที่กักตัว 14 วัน ให้เหลือเพียงแค่ 7 วัน และมาตรการดังกล่าวนั้น คือ นักท่องเที่ยวจะต้องกักตัวในห้อง 3 วัน และสามารถออกนอกห้องได้ แต่ให้อยู่ในบริเวณของโรงแรมอีก 4 วัน ด้วยมาตรการที่กำหนดนั้นจะต้องให้ได้มาตรฐานในการปฏิบัติแบบ SOP ซึ่งจะมีการประชุมในครั้งหน้าต่อไป

        ส่วนนักท่องเที่ยว​กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่ไม่ได้มีการฉีดวัคซีนมาก่อน กลุ่มนี้ก็ให้เข้ามาได้แต่จะต้องมีการกักตัวและตรวจหาเชื้อมา ก่อนเดินทางเข้ามาภูเก็ต ต้องไม่มีเชื้อโควิด-19 แต่มาถึงจะต้องกักตัว 10 วัน และการกักตัวจะต้องอยู่ในสถานที่ 10 วัน ของ AHQ เพราะฉะนั้นโรงแรม AHQ ที่ได้ผ่านการประเมินไปแล้ว สามารถรับได้แล้วมีทั้งหมด 24 แห่ง จำนวน 2,700 ห้อง ที่จะรองรับนักท่องเที่ยวได้ แต่ยกเว้นกลุ่มที่มาจากประเทศแอฟริกาจะต้องกักตัว 14 วันเหมือนเดิม เพราะว่าประเทศแอฟริกานั้นเป็นประเทศที่เชื้อไวรัสกลายพันธุ์ ไม่สามารถที่จะลดระยะเวลาการกักตัวได้ซึ่งเป็นมาตรฐานทางการแพทย์ที่ได้กำหนด ส่วนการดำเนินการแบบนี้จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.64 และ ในวันที่ 1 ต.ค.64 อาจจะเข้าสู่โหมดไม่ต้องกักตัวในสถานที่กักกัน โดยจะรับนักท่องเที่ยวที่มีการฉีดวัคซีนเข้ามา​ ซึ่งมาตรการที่รองรับนักท่องเที่ยวเราได้เตรียมไว้อย่างดี นายพิเชษฐ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายในที่สุด